วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

จริยธรรมธรรมสำหรับคฤหัสถ์ – เพื่อความดีงามในสังคม

Sunday, September 30, 2012 by อัญชลี
คฤหัสถ์ มีบทบาทและหน้าที่หลากหลายกว่าภิกษุสงฆ์ ทั้งบทบาททางครอบครัว สังคม และต่อพระพุทธศาสนา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้แจกแจงหลักจริยธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต แก่บุคคลกลุ่มต่างๆไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมดังนี้

จริยธรรมเพื่อความดีงามแห่งสังคม

ธรรมเพื่อส่งเสริมชีวิตที่ดีร่วมกัน

-          ทาน ๒ (การให้) คือ อามิสทาน (การให้สิ่งของ) และ ธรรมทาน (การให้ธรรม)
-          ทาน ๒ (การให้) คือ ปาฏิบุคลิกทาน (การให้จำเพาะบุคคล) และ สังฆทาน (ทานที่ถวายแก่สงฆ์เป็นส่วนรวม)สังคมดีงาม
-          ธรรมคุ้มครองโลก ๒ (ธรรมที่ช่วยให้โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย) คือ หิริ (ความละอายใจต่อการทำความชั่ว) และ อตตัปปะ (ความกลัวบาป)
-          บุคคลหาได้ยาก ๒ คือ บุพการี (ผู้ทำความดีให้แต่ต้นโดยไม่คิดถึงผลตอบแทน) และ กตัญญูกตเวที (ผู้รู้อุปการะที่เขาทำแล้วและตอบแทน)
-          บูชา ๒ คือ อามิสบูชา (บูชาด้วยสิ่งของ) และ ปฏิบัติบูชา (บูชาด้วยการปฏิบัติ)
-          ปฏิสันถาร ๒ (การต้อนรับ ทักทายปราศรัย) คือ อามิสปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ) และ ธรรมปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยธรรมหรือโดยธรรม)
-          ฤทธิ์ ๒ (อิทธิ คือความสำเร็จ) คือ อามิสฤทธิ์ (ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางวัตถุ) และ  ธรรมฤทธิ์ (ความสำเร็จหรือความรุ่งเรืองทางธรรม)
-          เวปุลละ ๒ (ความไพบูลย์) คือ อามิสเวปุลละ (ความไพบูลย์แห่งอามิส) และ ธัมมเวปุลละ (ความไพบูลย์แห่งธรรม)
-          สังคหะ ๒ (การสงเคราะห์) คือ อามิสสังคหะ (สงเคราะห์ด้วยอามิส) และ ธัมมสังคหะ (สงเคราะห์ด้วยธรรม)
-          สัปปุริสบัญญัติ ๓ (บัญญัติของสัตบุรุษ) คือ ทาน (การให้ปัน), ปัพพัชชา (การถือบวช) และ มาตาปิตุอุปัฏฐาน (การบำรุงมารดาบิดา)
-          ฆราวาสธรรม ๔ (ธรรมสำหรับฆราวาส) คือ สัจจะ (ความจริง), ทมะ (การฝึกฝน), ขันติ (ความอดทน) และ จาคะ (ความเสียสละ)
-          สังคหวัตถุ ๔ (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี) คือ ทาน (การให้), ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก), อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์) และ สมานัตตตา (ปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชน)
-          คารวะ หรือ คารวตา ๖ (ความเคารพ, การมองเห็นคุณค่าและความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลหรือสิ่งนั้นโดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ) คือ สัตถุคารวตา (ความเคารพในพระศาสดา), ธัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม), สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์), สิกขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา), อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ประมาท) และ ปฏิสันถารคารวตา (ความเคารพในปฏิสันถาร)
-          สารณียธรรม ๖ (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง, หลักการอยู่ร่วมกัน) คือ เมตตากายกรรม (ช่วยเหลือกิจธุระของผู้ร่วมคณะด้วยความเต็มใจ), เมตตาวจีกรรม (ช่วยบอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอน แนะนำ), เมตตามโนกรรม (ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน), สาธารณโภคี (ได้ของสิ่งใดมาก็แบ่งปันกัน), สีลสามัญญตา (มีศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย) และ ทิฏฐิสามัญญตา (มีทิฏฐิดีงามเสมอกัน)
-          สัปปุริสทาน ๘ (ทานของสัตบุรุษ) คือ สุจึ เทติ (ให้ของสะอาด), ปณีตํ เทติ (ให้ของประณีต), กาเลน เทติ (ให้เหมาะกาล ให้ถูกเวลา), กปฺปิยํ เทติ (ให้ของสมควร), วิเจยฺย เทติ (ให้ด้วยวิจารณญาณ), อภิณฺหํ เทติ (ให้เนืองนิตย์ หรือสม่ำเสมอ), ททํ จิตฺตํ ปสาเทติ (เมื่อให้ ทำจิตผ่องใส) และ ทตฺวา อตฺตมโน โหติ (ให้แล้ว เบิกบานใจ)

ธรรมเพื่อปกครอง คือจัดและคุ้มครองชีวิตที่ดีร่วมกัน

-              อธิปไตย ๓ (ภาวะที่ถือเอาเป็นใหญ่) คือ อัตตาธิปไตย (ความมีตนเป็นใหญ่), โลกาธิปไตย (ความมีโลกเป็นใหญ่) และ ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเป็นใหญ่)
-              พรหมวิหาร ๔ (ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ) คือ เมตตา (ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข), กรุณา (ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์), มุทิตา (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข) และ อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)
-          สังคหวัตถุ ๔ (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี) คือ ทาน (การให้), ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ (วาจาเป็นที่รัก), อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์) และ สมานัตตตา (ปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชน)
-              สังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน หรือ ราชสังคหวัตถุ ๔ (หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง) คือ สัสสเมธะ (ความฉลาดในการส่งเสริมการเกษตร), ปุริสเมธะ (ความฉลาดในการบำรุงข้าราชการ), สัมมาปาสะ (ความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ), วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอันดูดดื่ม)
-              อคติ ๔ (ความไม่เที่ยงธรรม) คือ ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ), โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง), โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลงผิด) และ ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว)
-              พละ ๕ ของพระมหากษัตริย์ (พลังของกษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดิน) คือ พาหาพลัง หรือ กายพลัง (ความแข็งแรงมีสุขภาพดี), โภคพลัง (มีทุนทรัพย์บริบูรณ์), อมัจจพลัง (กำลังข้าราชการ), อภิชัจจพลัง (กำเนิดในตระกูลสูง) และ ปัญญาพลัง (ทรงปรีชาญาณ)
-            อปริหานิยธรรม ๗ ของกษัตริย์วัชชี หรือ วัชชีอปริหานิยธรรม ๗ (ธรรมอัน เป็นไปเพื่อความเจริญสำหรับผู้บริหารบ้านเมือง) คือ
จริยธรรมผู้ปกครอง
  • หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
  • พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
  • ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
  • ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง
  • บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
  • เคารพสักการะบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ) ของวัชชี (ประจำชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
  • จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์
-              ราชธรรม ๑๐ หรือ ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา) คือ ทาน (การให้), ศีล (ความประพฤติดีงาม), ปริจจาคะ (การบริจาค), อาชชวะ (ความซื่อตรง), มัททวะ (ความอ่อนโยน), ตปะ (ความแผดเผากิเลสตัณหา), อักโกธะ (ความไม่โกรธ), อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน), ขันติ (ความอดทน) และ อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม)
-          วัตถุประสงค์ในการบัญญัติวินัย ๑๐ (เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสงฆ์สาวก
  • ว่าด้วยประโยชน์แก่สงฆ์หรือส่วนรวม –  สงฺฆสุฏฺฐุตาย (เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์) และ สงฺฆผาสุตาย (เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์)
  • ว่าด้วยประโยชน์แก่บุคคลทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย (เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก) และ เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย (เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม)
  • ว่าด้วยประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์ หรือแก่ชีวิต ทั้งทางกายและทางใจทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย (เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน) และ สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย (เพื่อบำบัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต)
  • ว่าด้วยประโยชน์แก่ประชาชนอปฺปสนฺนานํ ปสาทาย (เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส) และ ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย (เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว)
  • ว่าด้วยประโยชน์แก่พระศาสนาสทฺธมฺมฏฺฐิติยา (เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม) และ วินยานุคฺคหาย (เพื่ออนุเคราะห์วินัย)
-          จักรวรรดิวัตร ๕, ๑๒ (วัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ) คือ
  • ธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่)
  • ธรรมิการักขา (จัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองอันชอบธรรม) แก่ อันโตชน (คนในปกครองส่วนตัว), พลกาย (กองทัพ ข้าราชการฝ่ายทหาร), ขัตติยะ (กษัตริย์ผู้อยู่ในพระบรมเดชานุภาพ), อนุยนต์ (ผู้ตามเสด็จ คือ ราชบริพารทั้งหลาย), พราหมณคฤหบดี (ชนเจ้าพิธี เจ้าตำรา พ่อค้า เจ้าไร่เจ้านา ครูบาอาจารย์), เนคม ชานบท (แก่ชาวนิคมชนบท), สมณพราหมณ์ (แก่พระสงฆ์และบรรพชิต), มิคปักษี (แก่มฤคและปักษี)
  • อธรรมการนิเสธนา (ห้ามกั้น มิให้มีการอันอธรรมเกิดขึ้นในพระราชอาณาเขต)
  • ธนานุประทาน (ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แก่ชนผู้ไร้ทรัพย์)
  • ปริปุจฉา (ปรึกษาสอบถามปัญหากับสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น