การเปลี่ยนแปลงวิถีทางการเมืองของไทย
ปรับปรุงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เหมาะแก่ยุคสมัย
เปลี่ยนการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักโบราณขัตติยราชประเพณี
และยังเป็นพระจริยวัตรตามอุดมคติของพระโพธิสัตว์ที่เสวยราชย์เป็นจักรพรรดิ
ซึ่งทำให้ห่างเหินข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราษฎร
การรับรู้ของพระมหากษัตริย์ในการติดตามผลงานการบริหารราชการแผ่นดินได้จาก
เจ้านายขุนนาง
ทำให้ราษฎรไม่สามารถพึ่งองค์พระมหากษัตริย์ทางด้านกระบวนการยุติธรรม
แม้จะทรงเปิดโอกาสให้มีการถวายฎีกา แต่การถวายฎีกายังเป็นเรื่องยาก
ถูกกีดกันกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการ
จึงทรงแก้ไขใหม่โดยโปรดให้เขียนฎีกาลงกระดาษ
พระองค์เสด็จออกมารับที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์เดือนละ 4 ครั้ง
เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ยากและพระราชทานความเป็นธรรมแก่ประชาชน
พระราชกรณียกิจนี้
นอกจากจะทำให้ทรงทราบเรื่องไม่ดีไม่งามของผู้มีอิทธิพลแล้ว
ยังเป็นการปรามมิให้ข้าราชการประพฤติปฏิบัติไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนอย่างได้
ผล
แก้ไข ความสับสนในการสื่อสารข้อราชการ เดิมสื่อสารด้วยการออกหมายจากกรมวัง ให้สัสดีและ ทะลวงฟันเป็นผู้เดินบอกไปตามหมู่ตามกรม จึงทำให้ข้อราชการคลาดเคลื่อน จึงทรงออกหนังสือราชกิจจานุเบกษา ตีพิมพ์ข่าวราชการจากท้องตราและหมายที่ออกประกาศไปรวมเป็นเล่ม แจกไปตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับราชการต่าง ๆ ทุกหมู่ กรม หัวเมือง เพื่ออ่านให้เข้าใจในคำสั่งราชการ จะได้ไม่ปฏิบัติผิดพลาดและเก็บรักษาไว้ ทรงให้ประกาศในประชุมประกาศรัชกาลที่ 4
ระบบการเมืองของประเทศไทย
ระบบการเมืองการปกครอง
เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดข้อตกลงใจที่มีอำนาจบังคับในสังคม
ทุกระบบจะปรากฎลักษณะสำคัญเบื้องต้นร่วมกันดังนี้
การแบ่งระบอบการเมืองโดยพิจารณาจากอำนาจอธิปไตย
1. การปกครองโดยคนคนเดียว (Government of One) คือ บุคคลผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด มี 2 แบบ คือ
1.1 สมบูรณาญาสิทธิราช (Absolute Monarchy) สืบทอดตำแหน่งโดยการสืบสันตติวงศ์
1.2 เผด็จการ (Dictatorship) ผู้ปกครองเรียกว่า ผู้เผด็จการ มีอำนาจเด็ดขาดเช่นเดียวกับกษัตริย์ อาจจะได้อำนาจทางการเมืองมาโดย การปฏิวัติยึดอำนาจ หรือ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน
2. การปกครองโดยคนส่วนน้อย ( Government of Many) หรือการปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไปบริหารประเทศ หากไม่พอใจก็อาจเรียกอำนาจกลับคืนมาได้
ทุกระบบจะปรากฎลักษณะสำคัญเบื้องต้นร่วมกันดังนี้
การแบ่งระบอบการเมืองโดยพิจารณาจากอำนาจอธิปไตย
1. การปกครองโดยคนคนเดียว (Government of One) คือ บุคคลผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด มี 2 แบบ คือ
1.1 สมบูรณาญาสิทธิราช (Absolute Monarchy) สืบทอดตำแหน่งโดยการสืบสันตติวงศ์
1.2 เผด็จการ (Dictatorship) ผู้ปกครองเรียกว่า ผู้เผด็จการ มีอำนาจเด็ดขาดเช่นเดียวกับกษัตริย์ อาจจะได้อำนาจทางการเมืองมาโดย การปฏิวัติยึดอำนาจ หรือ ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน
2. การปกครองโดยคนส่วนน้อย ( Government of Many) หรือการปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย โดยการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรไปบริหารประเทศ หากไม่พอใจก็อาจเรียกอำนาจกลับคืนมาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น