บบสังคมและการเมืองไทย
1.สาระความสำคัญของวิชา
วิชานี้มุ่งหมายให้มีความรู้และความเข้าใจในทฤษฎี
ตัวแบบ แนวคิดและผลการวิจัยที่สำคัญ เกี่ยวกับระบบสังคมและการเมืองไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆของระบบท้งสองรวมทั้งตัวแปรหลักที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ทยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เรียนและ
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสนำทฤษฎีและแนวความคิดต่างๆที่เกี่ยวข้องมา
เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และอภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดทั้ง
ความรู้ความเข้าใจในระบบสังคมและการเมืองไ
รายละเอียดโดยย่อ
รายละเอียดโดยย่อ
ระบบสังคมไทย
|
ระบบการเมืองไทย
|
ระบบการเมืองไทย
|
รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ
|
รศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
|
รศ.ดร.ไพศาล สุริยะมงคล
|
1.
สังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน
2. การพัฒนาจากอดีตถึงปัจจุบัน 3. สิทธิมนุษยชนและสังคมไทย 4. ปัญหาหลักของสังคมไทย 5. ความหวังและทางออกของสังคมไทย |
1.การเมือง
: แนวคิดและการวิเคราะห์
2. ระบอบประชาธิปไตย : แนวคิดและกระบวนการ 3.วัฒนธรรมทางการเมือง 4. การพัฒนาทางการเมือง 5. การมีส่วนร่วมทางการเมือง |
1.ความคิดทางการเมืองและการปกครอง
ของไทยในสมัยโบราณ 2.แนวคิดและตัวแบบวิเคราะห์ทางการเมืองไทย 3.แบบแผนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและ สังคม กับการเปลี่ยนแปลงในระเบียบประเพณี และค่านิยม 4. พฤติกรรมการเมือง และแนวโน้มการพัฒนาทางการเมืองในปัจจุบันและอนาคต กับข้อเสนอตัวแบบการวิเคราะห์ 5. การบริหารกับการเมือง |
ส่วนที่หนึ่ง ระบบสังคมไทย
ลักษณเด่นของวัฒนธรรมตะวันตกเป็นพวก เขียนบันทึก คือ
ได้พบได้เห็นอะไรก็จะจดบันทึกไว้ส่วนของตะวันออกจะเป็นแบบoral culture : บอกเล่าต่อๆกันมา
- ทฤษฎีวิวัฒนาการสายเดี่ยว
เป็นความเชื่อพื้นฐานว่าสังคมจะวิวัฒนาการจากจุดที่ไม่สลับซับซ้อนไปสู่ความสลับซับซ้อน
(complex) แล้วเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกันโดยวัดได้จากความเจริญทางด้านวัตถุความเจริญทางด้านเทคโนโลยี
อคติเกิดจากวัฒนธรรม (Cultural bias)
การครอบงำของวัฒนธรรมทางสังคม(Cultural Bound)
ความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมจะทำให้รู้สึกว่าวัฒนธรรมของเราดีที่สุดและถูกต้องที่สุด
(Ethnocentrism)
ความผูกพันในวัฒนธรรม (Cultural Relativism)
สังคมไทย : จากอดีตถึงปัจจุบรรณ
“ระบบอุปถัมภ์” โครงสร้างศักดินาแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. กลุ่มนาย
* เจ้านาย
เป็นสถานภาพโดยกำเนิด มีตำแหน่งลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ
* ขุนนาง
คือ คนที่ถวายตัวรับใช้ แล้วให้ยศฐาบรรดาศักดิ์ บรรจุสูงขึ้นเรื่อยๆ
การพาไปถวายตัวกับ พระเจ้าอยู่หัวจึงสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นขุนนางได้
จุดนี้คือ “จุดสำคัญของระบบอุปถัมป์เกิด
ขึ้นแล้ว”
ขึ้นแล้ว”
2. กลุ่มไพร่
* ไพร่หลวง คือ ชาวไทยทั่วไปที่ถูกเกณฑ์แรงงาน 6 เดือน
โดยเข้าเดือนออกเดือน ไม่มีค่าตอบแทนให้ ทำงานโครงสร้างพื้นฐาน
* ไพร่สม คือ ไพร่หลวงที่ได้ถวายตัวกับเจ้านาย
หรือฝากตัวกับขุนนางเพื่อรับการอุปถุมภ์ ความสัมพันธ์เป็นเชิงแลกเปลี่ยน
เพราะต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เชิงแนวดิ่ง
ผู้อุปถัมถ์อยู่เหนือกว่า และผู้รับการอุปถัมภ์อาจอุปถัมภ์คนอื่นต่อไปได้
ในลักษณะเกื้อกูล ซึ่งมองในเชิงสังคม
ผู้รับอุปถัมภ์ในระดับเดียวกันอาจไม่รักใคร่ปรองดองกันเพราะแย่งกันเอาใจเจ้านาย
แล้วเมื่อผู้อุปถัมภ์เสียชีวิตลง ผู้รับการอุปถัมภ์อาจอยู่ด้วยกัน
หรือแยกกันออกไปก็ได้
เช่นเดียวกับพรรคการเมืองไทยที่ผู้นำต้องมีบารมีเป็นความผูกพันธ์ต่อผู้อุปถัมภ์รายใหญ่เพียงรายเดียวไม่ยอมรับในระดับแกนกลาง
ระบบศักดินามีผลต่อพฤติกรรมของคนไทยคือ ทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นความสัมพันในเชิงแลกเปลี่ยน คือ
ระบบศักดินามีผลต่อพฤติกรรมของคนไทยคือ ทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นความสัมพันในเชิงแลกเปลี่ยน คือ
ผู้อุปถัมภ์ให้แก่ไพร่
|
ไพร่ให้แก่ผู้อุปถัมภ์
|
1.
ยกเว้นแรงงาน
2. การปกป้องคุ้มครอง 3. ความสะดวกสบาย 4. มีโอกาสเปลี่ยนสถานภาพทางการเมือง |
1.
ความจงรักภักดี
2. ให้แรงงาน 3. ให้ทรัพยากรต่างๆ 4. เสริมศักดิ์ศรี บารมี เป็นกำลังพล |
ดังนั้นโครงสร้างระบบอุปถัมภ์จึงส่งผลกระทบกับความเชื่อ ค่านิยม
พฤติกรรมของคนไทย ซึ่งการรวมกลุ่มโดยระบบอุปถัมภ์จะขาดเสถึยรภาพ
ขาดความมั่นคงยืนยาวถาวร เป็นความผูกพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจของตนเอง
บุคคล และลูกน้อง ความสัมพันธืของคนเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
เน้นในเรื่องการแบ่งปันแลกผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นหากนำระบบอุปถัมภ์มาใช้ในองค์กรจะทำให้ไม่มีเสถียรภาพ
ผลของระบบอุปถัมที่มีต่อสังคมไทย คือ
1.เน้นตัวบุคคลไม่เน้นระบบ
ทำให้ไม่สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมได้
ซึ่งมีผลตามมามากมาย คือ
1) ไม่เข้าใจ Concept ของ Publicแต่เข้าใจความสัมพันธ์ส่วนตัว กตัญญูรู้คุณ
2) ไม่เข้าใจ Concept ของ Public
Good คือ สิ่งดีงามที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม เช่นการรณรงค์ให้มีการประหยัด
พลังงานที่เหลือน้อยลงทุกที
3) ไม่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม เพราะขาดจิตสาธารณะ
4) ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ฝ่าฝืนกติกาของสังคม เมื่อเกิดเรื่องเสียหายต่อส่วนรวม
ไม่มีใครแสดง
ตนออกมารับผิดชอบ
5) การยอมรับไม่เข้าใจ Public Accountability อ่อนแอมาก ไม่ชอบให้ใครมาตรวจสอบ
2. ขาดความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) และขาดความเสมอภาคในสังคม (Social Equity)
เรื่องความอบอุ่นไม่นับว่าเป็นจุดแข็งของระบบอุปถัมภ์ แต่ควรใช้หลักความเอื้ออาทรแบบไทยๆ
ให้ความเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนทำงานได้อย่างเต็มที่
วิธีแก้ไขระบบอุปถัมภ์
1. สร้างความเข้าใจ
2. ใช้สื่อเผยแพร่
3. นายเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกน้อง
4. สร้างพลังกลุ่มที่มีความผูกพันธ์ในแนวราบ
วิถีชีวิตคนไทย
สถาบันครอบครัว เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคม
แต่มีความสำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของสังคมที่มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการหล่อหลอมกล่อมเกลาทางสังคม
(Socialization) มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family)
กระบวนการทื่จะหล่อหลอมกล่อมเกลาให้เด็กป็นสมาชิกที่สมบูรณ์แบบของสังคม
คือ
1. ขั้นปฐมภูมิ
·
Oral
Stage
·
Anal
Stage ฝึกระบบขับถ่าย
·
Sexual
Stage
·
Mastery
Of The Environments คือสามารถควบคุมสิงแวดล้อมได้
2 .
Secondary Socialization ขั้นทุติยภูมิ
·
School
·
Peer
group
·
Mass
media
·
Occupation
ผลกระทบต่อการหล่อหลอมกล่อมเกลาทางสังคม
(Socialization)
1.บุคลิกภาพของคนไทย
Ruth Benedict
* เป็นสังคมที่มีชนชั้นมาก
* เป็นสังคมที่มีชนชั้นมาก
*
ใจเย็นจนเฉื่อย
* สถานะภาพของเพศหญิงที่ต่ำกว่าเพศชาย
* สถานะภาพของเพศหญิงที่ต่ำกว่าเพศชาย
* ขาดความกระตือรือร้น
* ขี้เกรงใจ
* รักสนุก
Herbert p. Phillips
* ชอบและมีความสุขในการปฎิสัมพันธ์ผู้อื่น
* ชอบความราบรื่นในการปฎิสัมพันธ์
* พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งต่อหน้า
Social Cosmetics
* มีความยืดหยุ่นสูง
* รักสนุก
2.ค่านิยมหลักของคนไทย
* เชื่อในอำนาจนิยม
* เชื่อในระบบอาวุโส
* ยกย่องนักปราชญ์และคนมีความรู้
*
นิยมการมีชีวิตที่เรียบง่าย
* ยกย่องคนมียศฐาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งสูง
* ยกย่องคนมีจิตใจนักเลง
การวิเคราะห์สังคม
๏
โครงสร้างหลวม คือ
โครงสร้างหลวม หมายถึง
การมีวัฒนธรรมที่ยินยอมให้พฤติกรรมของแต่ละคนแตกต่างกันได้
โดยสถานการณ์หนึ่งจะมีทางเลือกปฎิบัติหลายทาง มีการปรับตัวเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ขาดระเบียบวินัยและความสะอาด
ซึ่งคนไทยเป็นคนเกือบจะไม่มีระเบียบวินัยและกฎเกณฑ์ต่างๆ
แนวคิดของ มีความเห็นว่า ลักษณะโครงสร้างของสังคมไทยนั้น
มีลักษณะเป็นโครงสร้างหลวม (Loose Structure) มีลักษณะ คือ
1. ปัจเจกชน คือ
ทำอะไรตามใจตนเองไม่มีระเบียบวินัย
2.
เข้าใจกฎระเบียบกติกาแต่ชอบฝ่าฝืนละเมิด
3. ชอบทำงานเฉพาะกิจไม่ชอบผูกมัดระยะยาวมีความยืดหยุ่นสูง
ทำให้หลักการเสีย
ข้อดี
1. ทำให้รอดพ้นจากตกเป็นอาณานิคม นโยบายต่างประเทศสามารถเจรจา
ปรับเปลี่ยน ต่อรองเจรจา
ประนีประนอม เปลี่ยนจุดยืน
2. มีคนหลายชาติพันธ์
แต่มีบรูณาการสูง เมืองกับชนบท แตกต่างกันหลายอย่าง แต่มีความขัดแย้งต่ำ
เป็นจุดแข้.ของ
๏รูปแบบบริวารและพรรคพวก
1. มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง
2. ผู้อุปถัมภ์& ผู้ได้รับอุปถัมภ์
3. มีความสัมพันแบบเกื้อกูลกัน
4. มีความสัมพันส่วนตัว
จากประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมต่างๆมากมาย ทั้งปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงโดยอเมริกาเห็นว่าสังคมจะเจริญต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีองค์กรที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาผ่าน 3 องค์กร คือ
เน้นเรื่องการพัฒนานานาชาติ
ให้เงินกู้และชี้แนะการพัฒนาเศรษฐกิจ
ใช้ในการพัฒนาฟื้นฟู
จึงเกิดทฤษฎีเรียกว่า ทฤษฎีพัฒนาการเศรษฐกิจ
ในส่วนของไทย ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและสังคม
เริ่มเปลี่ยนเมื่อไทยเซ็นต์สัญญาบราวริ่งกับอังกฤษ ซึ่งสัญญาบังคับให้ต้อง
1. เริ่มเปิดการค้าเสรี
2. ถือครองที่ดิน
มีการออกโฉนดและเริ่มกว้านซื้อที่ดิน
3. เดิมเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ
ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้า แต่เมื่อเซ็นต์สัญญาฯ เริ่มมีการใช้เงินตราเป็น
ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมที่เริ่มให้ความสำคัญกับวัตถุนิยม
ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมที่เริ่มให้ความสำคัญกับวัตถุนิยม
๏ปัญหาหลักของสังคมไทย คือ
·
ระบบสังคมและการเมืองอ่อนแอไม่เข็มแข็ง
·
การจัดการของรัฐบาลไม่จริงจัง
·
กลุ่มรับผิดชอบขาดจริยะธรรม
ดังนั้น ทุกคนมีส่วนทำให้ระบบที่มีอยู่ในสังคมต้องล้มเหลว
เช่นระบบการเมืองไทยไม่มีการจัดการอะไรที่รวดเร็วและทันเหตุการ
ระบบการเมืองไทยชอบที่เข้ามาแทรกระบบเศรษฐกิจ ระบบของข้าราชการก็มีส่วนบ้าง คือไม่ยอมเปิดก้วางให้บุคคลอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงาน
ระบบข้าราชการไทยขาดความโปร่งใสในการปฏิบัติหรือดำเนินงาน
ข้อมูลที่นำเสนอไม่ชัดเจน ค่านิยมของคนไทยไม่ค่อยออกมาตรวจสอบระบบต่างๆ
ส่วนการดำเนินงานของกลุ่มประชาสังคม
และกลุ่มบุคคลที่ไม่ร่วมในการแก้ไขปัญหาเมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คือ
กลุ่มคนระดับล่างๆ หรือ กลุ่มคนจน หรือ กลุ่มคนชนบท
ภายใต้การพัฒนา/เศรษฐกิจตามแบบแผน
1- 8 สังคมไทยมีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรบ้าง
จุดแข็ง
1.
สังคมดีขึ้น มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม (Infrastructure) คือ มีถนนหนทางสะดวก ไฟฟ้า
ประปาสะดวก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “วัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยน” เช่น อาหารการกิน ฉะนั้น
การย้อนกลับดังกล่าว ทำให้ลดช่องว่างทางวัฒนธรรมได้
2.
ระดับความเจริญที่สากลยอมรับนั้น
ใช้ตัวชี้วัดหลายตัว นอกจากรายได้ GNP แล้วคือ Human
Development ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักที่ใช้วัดคือ
1)
อัตราการตายของทารกแรกเกิด-5 ขวบ
/ 1,000 คน
2)
มีน้ำสะอาดใช้มากน้อยแค่ไหนในสังคมนั้น
3)
น้ำหนักเด็กทารก-5 ขอบ
ได้มาตราฐานสากลหรือไม่ เพราะน้ำหนักเด็กจะแสดงถึงภาวะโภชนาการอาหารการกิน
4)
อัตตราการตายของมารดาตอนคลอด และหลังคลอด
5)
อายุเฉลี่ยของหญิงเท่าไหร่ ชายเท่าไหร่
ประเทศไทยเคยอยู่นระดับ High HD ต่ำๆแต่มีตัวแปรที่ไม่ดี คือโอกาสในการพัฒนาของผู้หญิงต่ำ
ประเทศไทยเคยอยู่นระดับ High HD ต่ำๆแต่มีตัวแปรที่ไม่ดี คือโอกาสในการพัฒนาของผู้หญิงต่ำ
6)
การศึกษา UNESCO เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้
การอ่านออกเขียนได้และหลังออกจากโรงเรียนแล้วยังอ่านออกเขียนได้อยู่
Functional Literacy คนไทยจะอ่อนด้อยเนื่องจากวัฒนธรรมของเราเป็น
1)
รายได้ทั่วไปสูงขึ้น
แต่อาจจะบอกได้ว่าคนไทยจนลงเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ Standard ด้านวัตถุดีขึ้น
2)
การเข้าสู่นานาชาติเป็นสมาชิกต่างประเทศ
การสื่อสารสะดวกสะบายมีการแลกเปลี่ยนการศึกษามีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเปิดโอกาศให้คนเข้าไปเรียน
จุดอ่อน
1. ช่องว่างของสังคม GNP
สูงขึ้น แต่รายได้ไม่กระจายไปสู่ชนบท ปัจจุบันสังคมไทยขาดแคลน เมื่อเทียบกับผู้อื่นสูงมาก เน้นเรื่องวัตถุนิยม
กลายเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมไร้สติ
2. ด้านสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่าสิ่งแวดล้อมถูกทำลายลงไปอย่างมาก
3. ปัจจัยการผลิต เราเน้นการเจริญทางเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด แต่ช่วงนั้นเราขาดปัจจัยการพัฒนา คือ
1)
ไม่มีเงินทุน Capital
2)
ไม่มีทักษะ Skill
3) ขาดเทคโนโลยี Technology
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ได้เงินง่ายที่สุดคือนำทรัพยากรออกขาย
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ได้เงินง่ายที่สุดคือนำทรัพยากรออกขาย
4.
คุณธรรม จริยธรรม คุณค่าทางสังคม วัฒนธรรม อยู่ตรงไหน
เราไม่ได้เน้นทำให้เด็กปัจจุบันไม่ตระหนักถึงหน้าที่ที่มีต่อสังคม หน้าที่ต่อครอบครัวก็ดูแลกันเอง สังคมใหม่กลายเป็นสอนเด็กให้เก่งในทางวิชาการ
แต่ไม่ได้สอนให้เก่งในทางเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ไม่สมดุล
5. ครอบครัว
เดิมครอบครัวป็นศูนย์กลางชีวิตของคนไทยไม่ว่ายากดี มีจน ครอบครัว คือจุดยึดเหนี่ยว
ใจของคนไทย
ยามแก่ชราครอบครัวก็ดูแลกันเอง แต่ปัจจุบันมีการอพยพย้ายถิ่น ทำให้คนชราถูก
ทอดทิ้ง
ถ้านโยบายสังคมไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะมีปัญหาเรื่องครอบครัวแตกแยก
คนแก่
เป็นปัญหาของสังคมมากขึ้น
ความหวังและทางออกของสังคมไทย
ความหวังและทางออกของสังคมไทย
แนวทางในการแก้ไขปัญหา
1)
เสริมสร้างคนชั้นกลาง
กระตุ้นให้มีส่วนร่วมทางการเมือง
2)
กำหนดวิสัยทัศน์ทางการเมืองใหม่ให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ซื่อสัตย์
มีคุณธรรม มีจริยธรรม
มีเหตุผล เคารพกฏกติกา
มีเหตุผล เคารพกฏกติกา
3)
แก้ไขกระบวนการเลี้ยงดูจากครอบครัว ให้มีเหตุผล ทำตามกฏกติกาของสังคม
4)
แก้ไขกระบวนการการศึกษา สอนให้คิด วิเคราะห์
ประยุกต์ใช้
5)
แก้ไขกระบวนการทางการเมือง ปฎิรูปให้เป็น ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
สามารถที่จะถอดถอนผู้ปกครองได้หากไม่มีคุณธรรม
6)
ปฎิรูประบบราชการให้รับใช้ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7)
แก้ไขกระบวนการการถ่ายทอดค่านิยมผ่านสื่อต่างๆ
8)
ร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน
หน่วยงานที่สำคัญในการพัฒนาสังคมไทย
คือ
1)
First
– Sector คือรัฐบาล เป็นหน่วยงานที่นำทางการพัฒนาของไทย คือ รัฐบาลกำหนดกฎหมาย นโยบาย รัฐบาลมีงบประมาณ จัดส่งบุคลากรไปทำงาน
2)
Second
– sector คือ Business– Sector เป็นหน่วยงานที่หวังผลกำไรก็จริงแต่ก็ตอบสนองความต้อการของลูกค้า
มีความฉับไวในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แผนงาน โครงการ
ถึงแม้จะมีวัตถุประสงค์สร้างผลกำไร แต่ก็สร้าง Product ใหม่ๆ
ให้แก่สังคม สร้างบริการใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์ เช่นโทรศัพท์มือถือ
3)
Third
– Sector
คือหน่วยงานที่ไม่ใช่รัฐ เป็นเอกชนที่ไม่หวังกำไรเรียกว่า NGO หรือปัจจุบันเรียกว่า Civil Society คือประชาสังคม
เช่น กลุ่มแม่บ้าน มูลนิธิ สมาคม รวมตัวกันแก้ไขปัญหาบางอย่างของสังคม
ร่วมมือทำงานเพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อพัฒนากลุ่ม เพื่อทำให้สังคมเข้มแข็ง
เพราะปัจจุบันเราไม่สามารถพึ่งเฉพาะรัฐบาลได้
เนื่องจากรัฐกำลังเปลี่ยนแปลงโดยมีการปรับขนาดของโครงสร้างให้เล็กลง
เพราะตัวกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องที่มีมากมายทำให้รัฐมีขนาดใหญ่ทำให้อุ้ยอ้าย ช้า
ไม่สามารถลงถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่าง หลากหลายได้ งานบางอย่างต้องให้เอกชนที่มีความชำนาญกว่าทำแทนในระยะยาว
ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาร่วมกันทุกส่วนภาคในลักษณะ Partnership ซึ่งต้องทำให้รัฐบาลมอง NGO ในแง่ดี
บทบาทของเอกชนต้องไม่หวังผลกำไรมากเกินไป
เพื่อให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
1)
ความสมัครใจ
2)
ภาวะผู้นำต้องมาจากภายในของชาวบ้านเอง
3)
ชนชั้นกลางควรลุกขึ้นมามีส่วนทางสังคม เป็นธรรมชาติของการรวมกลุ่ม ซึ่งการรวมกลุ่มควรมีกระบวนการคือ
(1) วัตถุประสงค์
เป้าหมาย ภารกิจ
(2)
วิธีการรวมกลุ่ม
(3)
กติกา กฎ ระเบียบ
(4)
มีนโยบาย แผนงาน โครงการอะไรบ้าง
(5)
จะระดมทุนมาทำงานอย่างไร
(6)
ประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาร่วม เพื่อรับการสนับสนุนเงินทุน / กำลังใจ
(7)
ประเมินผลงาน
(8) ปรับปรุงแก้ไขจากการประเมิน
การจัดองค์กรแบบนี้ ต้องอาศัยผู้นำที่มีบารมี ทำให้คนรู้สึกว่า การรวมกลุ่มแบบนี้ต้องสร้างให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าขององค์กร รู้สึกเป็น
(8) ปรับปรุงแก้ไขจากการประเมิน
การจัดองค์กรแบบนี้ ต้องอาศัยผู้นำที่มีบารมี ทำให้คนรู้สึกว่า การรวมกลุ่มแบบนี้ต้องสร้างให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าขององค์กร รู้สึกเป็น
ส่วนที่
2 : ระบบการเมือง
(รศ. ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์)
การเมือง
: แนวคิดและการวิเคราะห์
การเมือง คือ
การจัดสรรอำนาจเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งหมายถึงการกำหนดและบังคับใช้ กฎ
ระเบียบ ของสังคมอย่างยุติธรรม
เพื่อสนองตอบประโยชน์สุขของประชาชนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
การเมือง คือ
อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ลัทธิทางการเมือง : นักปรัชญาทางการเมือง
: แนวคิดและกระบวนการ
* สำนักธรรมะ
- โสเครติส ผู้ปกครองต้องมีคุณธรรม คุณธรรม 5 ประการคือ
1.
ปัญญา (Wisdom)
การเรียนรู้เกี่ยวกับความดี
2.
ความกล้าหาญ (Courage)
รู้เกี่ยวกับสิ่งที่ควรกลัว / ไม่ควรกลัว
3.
การควบคุมตัวเอง(Temperance) การมีชีวิตอยู่ตามทำนองแห่งความดี
4.
ความยุติธรรม (Justice)
การปฏิบัติความดี เคารพสิทธิของผู้อื่น
5.
กระทำความดี (Piety)
มั่นคงแสดงออกถึงคุณธรรม
- เพลโต แนวทางของคุณธรรม
โดยใช้กฎหมายของการปกครอง-การลงโทษควรจะมุ่งเน้นให้คนกลับมาเป็นคนดี
- อริสโตเติล
รัฐที่ดีควรแสดงออกถึงการมีชีวิตที่ดีของประชาชน การมีสภาพแวดล้อมที่ดี
จำแนกรูปแบบการปกครองออกเป็นดังนี้
จำนวนผู้ปกครอง
|
วัตถุประสงค์ของการใช้อำนาจ
|
|
เพื่อส่วนตัว /
แบบเลว
|
เพื่อส่วนรวม /
แบบดี
|
|
คนเดียว
|
ทรราช / Tyranny
|
ราชาธิปไตย / Monarchy
|
กลุ่มบุคคล
|
คณาธิปไตย / Oligachy
|
อภิชนาธิปไตย / Aristocracy
|
คนจำนวนมาก
|
ประชาธิปไตย / Democracy
|
โพลิตี้ (Polity)
|
อริสโตเติล เห็นว่ารูปแบบโพลิตี้
คือการแบ่งประชาชนออกเป็น 3 ชนชั้นใหญ่คือ 1) คนรวย , 2) คนชั้นกลาง, 3) คนจน
โดยให้ชนชั้นกลางเป็นตัวแทนในการปกครองเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ยุติธรรมกับคนรวยและคนจน
* สำนักอธรรม
-
มาเคียเวลลี Ends Justify
Means เน้นผู้ปกครองคำนึงถึงเป้าหมาย
(Ends) มากกว่าวิธีการว่าจะถูกต้องด้วย
คุณธรรมหรือจริยธรรมหรือไม่ (ผู้ปกครอง= สุนัขจิ้งจอก + ราชสีห์ = เจ้าเล่ห์ +
น่าเกรงขาม)
* สำนักสัญญาประชาคม (Social Contract)
-
โทมัส ฮอบส์ กฏหมายแห่งรัฐ (Civil Law) เน้นความปลอดภัยของการอยู่ร่วมกัน คือ การทำสัญญา
ประชาคม อำนาจอธิปไตยเป็นของ King ราชาธิปไตย
* จอห์น
ล็อค เน้นรัฐเป็นเรื่องส่วนรวม
เสรีภาพ ละสัญญาประชาคม แบ่งแยกอำนาจเป็น 3 ฝ่ายคือ
นิติบัญญัติ , บริหาร , ตุลาการ โดยยมาจากอำนาจของประชาชน
นิติบัญญัติ , บริหาร , ตุลาการ โดยยมาจากอำนาจของประชาชน
* ฌอง ฌาคส์ รุสโช เน้นเรื่องเสรีภาพ มนุษย์มีเสรีภาพ
อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เป็นสัญญา
ประชาคม
๏ การวิเคราะห์ระบบการเมือง
แผนภาพกรอบแนวคิดของเดวิด อิสตัน
* ระบบการเมืองเป็นศูนย์กลาง จะทำหน้าที่รับข้อมูลจากภายนอก เพราะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่อยู่รอบ ๆ (Environment) จะถูกนำเข้าสู่ระบบทางการเมืองในรูป Input ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
- Demands คือความต้องการของประชาชน ได้แก่ ความต้องการทางสังคม เช่น การศึกษา , สาธารณสุข , เศรษฐกิจ ฯลฯ
๏ การวิเคราะห์ระบบการเมือง
แผนภาพกรอบแนวคิดของเดวิด อิสตัน
* ระบบการเมืองเป็นศูนย์กลาง จะทำหน้าที่รับข้อมูลจากภายนอก เพราะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่อยู่รอบ ๆ (Environment) จะถูกนำเข้าสู่ระบบทางการเมืองในรูป Input ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
- Demands คือความต้องการของประชาชน ได้แก่ ความต้องการทางสังคม เช่น การศึกษา , สาธารณสุข , เศรษฐกิจ ฯลฯ
-
Supports คือ
การสนับสนุนของประชาชน ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ระบบการเมืองกำหนด
ทั้งสองส่วนนี้ ผ่านเข้าสู่ระบบการเมืองผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนทางการเมืองนำไปสู่การตัดสินใจและการกระทำ
Decision
+ Actions เกิด Output ผลผลิตที่เกิดจากการตตัดสินใจของระบบการเมือง
ซึ่งได้แก่ นโยบายต่าง ๆ เมื่อนำไปปฏิบัติก็จะเกิด Feed Back ส่งกลับมายังสิ่งแวดล้อม แล้วนำไปสู่ระบบการเมืองอีก เป็นการสัมพันธ์เชิง-
พลวัตร
พลวัตร
1. สิ่งแวดล้อมในระบบสังคม
-
ระบบนิเวศวิทยา
- ระบบชีววิทยา
- ระบบบุคลิกภาพ
- ระบบสังคม
2. สิ่งแวดล้อมนอกระบบสังคม
- ระบบการเมืองระหว่างประเทศ
- ระบบสังคมระหว่างประเทศ
- ระบบนิเวศวิทยาระหว่างประเทศ
ระบบประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยของนครรัฐเอเธนส์
(Athenian
Direct Democracy) นครรัฐเอเธนส์ในสมัยโบราณเมื่อ 500
ปีก่อนคริสต์ศักราช มีประชากรประมาณ 300,000 คน
เป็นนครรัฐที่ได้พัฒนาระบอบการเมือง ที่เชื่อว่าเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย
โดยถือว่าเป็นนครเอเธนส์เป็นผู้ให้กำเนิดการปกครองระบบประชาธิปไตย
ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยโดยตรง( Direct Democracy)
ระบอบประชาธิปไตยโดยตัวแทน (Representative
Dermocracy) : คือระบบการปกครองที่ประชาชนมิได้เข้ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับการปกครองด้วยตนเองโดยตรงแต่ประชาชนเป็ผู้เลือกตัวแทนให้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนตน
ทั้งนี้เพราะในสังคมการเมืองยุคใหม่รัฐต่าง ๆ ประกอบด้วย ประชาชนจำนวนมาก
จึงไม่สะดวกต่อการที่ประชาชนจะเข้ามาทำหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการปกครองด้วยตนเอง
1.
ปรัชญาของระบอบประชาธิปไตย
-
ธรรมชาติของมนุษย์ (Human
Nature)
-
เสรีภาพของมนุษย์ (Liberty)
-
ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ (Equality)
-
อำนาจอธิปไตยของปวงชน (Popular
Sovereignty)
2. หลักการของระบอบประชาธิปไตย
1)
อำนาจอธิปไตยของปวงชน (Popular
Sovereignty)
2)
หลักเสรีภาพ (Liberty)
-
เสรีภาพทางการเมือง
-
เสรีภาพในทรัพย์สิน
-
เสรีภาพในการเลือกที่อยู่อาศัย
-
เสรีภาพในการประกอบอาชีพ
3) หลักความเสมอภาค (Equality)
4) หลักของกฎหมาย (Rule of Law)
-
กฎหมายต้องมีที่มาชอบธรรม
-
การบังคับใช้กฎหมายต้องเสมอภาคเท่าเทียมกัน
-
ประชาชนต้องได้รับความคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
5) หลักเสียงข้างมาก (Majority Rule)
รูปแบบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย จำแนกได้ 3
รูปแบบ
1)
รูปแบบควบอำนาจ Fusion of Power/ แบบระบบรัฐสภา Parliamentary
System
1)
ประชาชนเป็นผู้เลือกฝ่ายนิติบัญญัติโดย
2)
ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล (บริหาร)
3)
ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
4)
ฝ่ายบริหารมีอำนาจใจการยุบสภา
5)
ประมุขของประเทศแยกกับประมุขของฝ่ายบริหาร
เช่น ไทย , อังกฤษ
2)
รูปแบบการแบ่งแย่งแยกอำนาจ Separation of power
/ แบบระบบประธานาธิบดี (Presidential
System) ประเทศสหรัฐอเมริกา
1)
ประชาชนเลือกฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง
2)
ประชาชนเลือกฝ่ายบริหารโดยตรง
3)
ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจเปิดอภิปรายฝ่ายบริหาร
4)
ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจยุบสภา
5)
ประมุขของประเทศและผู้นำของรัฐบาลเป็นคนเดียวกัน
3)
รูปแบบผสม Mixed System
ประเทศฝรั่งเศส
ในเอเชียคือประเทศเกาหลีและรัฐเชีย
ประเทศไทยรัฐธรรมนูญใหม่เอามาใช้เฉพาะกรณี
นายกรัฐมนตรีและรัฐนมตรีต้องลาออกจากการ
เป็น ส.ส.
1)
ประชาชนเลือกประธานาธิบดีโดยตรง
2)
ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายยกรัฐมนตรี
นายยกรัฐนมตรีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
3)
ประธานาธิบดีมีอำนาจยุบสภา
4)
ประธานาธิบดีมีอำนาจนำประเด็นทางการเมืองไปให้ประชาชนลงมติ
5)
ส.ส. เลือกสภาสูง (เลือกตั้งโดยอ้อม)
มีอำนาจเท่ากัน ยกเว้นเรื่องการเงินและไม่มีอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
สรุป
ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยตัวแทน(Representative
Democracy) ซึ่งมีหลักการที่แตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยโดยตรง (Direct
Democracy) ของนครของรัฐเอเธนส์หลายประการ
หากพิจารณาในด้นปรัชญาอาจกล่าวได้ว่าความคิดเรืองนิติรัฐ (Law) ของเพลโต ความเชื่อเรื่องโพลิตี้ (Polity)
ของอรีสโตเติล ความคิดเรื่องสัญญาประชาคม (Social Contract)
ของรุสโซ่และล็อค
ล้วนมีส่วนเสริมปรัชญาของระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ให้มีความสมบูรณ์ทั้งสิ้น
ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่จึงเป็นระบอบการปกครองของประชาชนโดยประชาชน
เพื่อประชาชน ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 5 ประการคือ
1.
หลักอธิปไตยของปวงชน
2.
หลักเสรีภาพ
3.
หลักความเสมอภาค
4.
หลักกฎหมาย
5.
หลักเสียงข้างมาก
วัฒนธรรมทางการเมือง
วัฒนธรรม หมายถึง
แบบแผนพฤติกรรมการดำรงชีวิตของกลุ่มคน
วัฒนธรรมทางการเมือง หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมของบุคคลที่มีต่อระบบการเมืองและองค์กรทางการเมือง อันเป็นผลมาจากกระบวนการปลูกฝัง และหล่อหลอมทางการเมือง (Political Socialization) จนกระทั่งให้บุคคลเกิดความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติทางการเมือง ตามแบบที่ได้รับการปลูกฝังสืบต่อกันมามาก และนำไปสู่พฤติกรรมทางการเมืองตามความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติดังกล่าว
วัฒนธรรมทางการเมือง หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมของบุคคลที่มีต่อระบบการเมืองและองค์กรทางการเมือง อันเป็นผลมาจากกระบวนการปลูกฝัง และหล่อหลอมทางการเมือง (Political Socialization) จนกระทั่งให้บุคคลเกิดความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติทางการเมือง ตามแบบที่ได้รับการปลูกฝังสืบต่อกันมามาก และนำไปสู่พฤติกรรมทางการเมืองตามความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติดังกล่าว
คุณสมบัติของวัฒนธรรม
1.
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้
2.
วัฒนธรรมเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมมากกว่าเกิดจากการถ่ายทอดทางสายเลือด
3.
วัฒนธรรมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงได้ (Dynamic) และมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
๏
คุณสมบัติของระบบความเชื่อ , ค่านิยม , และทัศนคติ
ระบบความเชื่อ :
1. เป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งดำรงอยู่ว่าเป็นสิ่งถูกต้องหรือผิด
1. เป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งดำรงอยู่ว่าเป็นสิ่งถูกต้องหรือผิด
2.
เป็นความเชื่อเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าของที่ดำรงอยู่ว่าดีหรือเลว
3.
เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเป้าหมายของการกระทำว่าเป็นสิ่งที่พึง ปรารถนา หรือ
ไม่พึงปรารถนา
ค่านิยม (Value) :
1. ค่านิยมมีลักษณะเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งเกี่ยววิถีการกระทำหรือเป้าหมายของการกระทำ
2. ค่านิยมมีลักษณะยืนยงถาวร
เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งมีการสั่งสมกันมานาน
3.
ค่านิยมมีลักษณะของการเปรียบเทียบความสำคัญ
ทัศนคติ (Attitude) :
1. เป็นระบบความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานาน
2. แสดงออกในรูปของความรู้สึก
วัฒนธรรมทางการเมือง ชี้ให้เห็นว่าแบบแผนของทัศนคติของบุคคลที่มี
ต่อระบบการเมือง
พิจารณาได้จากความโน้มเอียง 3 ลักษณะคือ
1. ความโน้มเอียงเกี่ยวกับความรู้ (Cognitive
Orientation)
2 . ความโน้มเอียงเกี่ยวกับความรู้สึก
(Affective
Orientation)
3. ความโน้มเอียงเกี่ยวกับการประเมินค่า (Evaluation
Orientation)
นอกจากนี้ ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองของกลุ่มคนในสังคมต่าง
ๆ พบว่ามี 3 ลักษณะคือ
1.
วัฒนธรรมทางการเมืองคับแคบ (The Parochial
Culture) ไม่มีความรู้ความเข้าใจการเมืองเลย ไม่มีการับรู้
ไม่มีความเห็น ไม่ใส่ใจต่อระบบการเมือง
ไม่คิดว่าตนเองมีความจำเป็นต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองเช่นในประเทศที่ด้อยพัฒนาและในชนบทของไทย
2.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า (The Subject Political
culture) จะพบได้ในคนชั้นกลาง เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ ความเข้าใจ
เกี่ยวกับระบบการเมืองโดยทั่งไป แต่เชื่ออำนาจรัฐอยู่ที่ผู้ปกครอง
เช่นในประเทศที่กำลังพัฒนาและในประเทศไทยชุมชนเมือง
3.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (The Participant
Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมือง ของบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับระบบการเมืองเป็นอย่างดี เป็นคนชั้นกกลางส่วนใหญ่ ของประเทศอุตสาหกรรม
หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว และในประเทศไทยคือคนมนเมืองที่มีการศึกษา
สรุปว่าสังคมต่าง
ๆ ของประชาชนจะมีวัฒนธรรมทางการแบบผสมผสาน (Mixed Political Culture) ได้แก่
1.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมแบบไพร่ฟ้า (The Parochial
Subject Culture)
2.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าแบบผสมมีส่วนร่วม
(The
Subject Participant Culture)
3.
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบผสมแบบมีส่วนร่วม
(The
Parochial Participant Culture)
* ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง
1.
แบบประชาธิปไตย
- รู้และเข้าใจเกี่ยวกับระบบประชาธิปไตย
- การมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง
- มองโลกในแง่ดี
/ ไว้วางใจผู้อื่น
- รู้จักวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์
2. แบบอำนาจนิยม
-
อำนาจนิยมเด็จขาด อ่อนน้อม
ยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจ
-
มอบความรับผิดชอบทุกอย่างให้ผู้นำ-ยึดตังบุคคล
-
การยึดต่อค่านิยม เจ้าขุน มูลนาย ระบบศักดินา
-
ค่านิยม การเมืองไม่ใช่เรื่องของประชาชน
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน
1.
อำนาจนิยม
2.
ยึดกลุ่มพวกพ้อง
3.
อิสระนิยม
4.
ยึดถือตัวบุคคลมากกว่าหลักการ
5.
ยึดถือประเพณีเก่าแลละดั้งเดิม
6.
จัดลำดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
7.
เฉื่อยชา
8.ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
9.
รักสงบและชอบการประนีประนอม
แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาให้ประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
1.
ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
-
ในระบบการศึกษา
-
นอกระบบการศึกษา
2. กระตุ้นให้ประชาชนมีความสนใจทางการเมือง
๏ การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย
๏ การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย
1. การเมืองยุคคณะราษฎร์ : เมื่อคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. 2475
2. การเมืองยุคอำนาจนิยม : หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์
ทำรัฐประหารยึดอำนาจจาก
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สำเร็จ
การเมืองยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู : หลังการเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากระบอบเผด็จการ 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค. 2519
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สำเร็จ
การเมืองยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู : หลังการเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากระบอบเผด็จการ 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค. 2519
แนวทางการพัฒนาระบบการเมืองให้เป็นประชาธิไตย
1 .พัฒนาโครงสร้างทางการเมือง
2. เสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง
3. กระจายอำนาจทางการเมือง
4. ธรรมรัฐ สร้างทางเลือกและระบบที่ดี
การมีส่วนร่วมทางการเมือง
การมีส่วนร่วมทางการเมือเป็นทั้งเป้าหมาย (End) และกระบวนการทางการเมือง (Mean) คือ
1. เป็นเป้าหมายที่สำคัญในการพัฒนาระบบการการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
2. เป็นวิธีการแสดงออกทางการเมืองของบุคคลในสังคมและกระบวนการปฎิสัมพันธ์
ระหว่างองค์กรต่างๆ
ในระบบการเมือง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของไทย
1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ปกครอง
1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ปกครอง
2. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา
3. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวนาชาวไร่
4. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของกรรมกร
4. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของกรรมกร
ลักษณะการมีส่วนร่วม
1. การกำหนดตัวผู้ปกครอง :
ประชาชนไปใช้สิทธ์เลือกตั้ง หรือถอดถอนผู้นำทางการเมือง
การผลักดันการตัดสินใจ :
การมีส่วนร่วมในการผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาล
2. การวิพากวิจารรัฐบาล-คัดค้าน /
สนับสนุน : ประชาชนมีสิทธิ์และเสรีภาพในการที่จะวิพากษ์
วิจารณ์ การ 3. กระทำของรัฐบาล ได้ทั้งในการสนับสนุนและคัดค้าน อาจจะทำโดยการเขียน การพูด และการโฆษณา
เผยแพร่ทั่งปวง
4. การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง : ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะชุมนุม และเคลื่อนไหวทางการเมือง
4. การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง : ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะชุมนุม และเคลื่อนไหวทางการเมือง
ได้ทั้งทางการสนับสนุนและคัดค้านการกระทำของรัฐบาล
ระดับชั้นการมีส่วนร่วม
1. กิจกรรมของผู้สนใจทางการเมือง
- การแสดงความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง
- การใช้สิทธิ เลือกตั้ง
- การริเริ่มประเด็นพูดคุยทางการเมือง
- การชักผู้อื่นให้เลือกตั้งบุคคลที่ตนสนับสนุน
- การประชาสัมพันธ์เพื่อสนับสนุน
2.
กิจกรรมของผู้ปรับเปลี่ยนทางการเมือง
- การติดต่อนักการเมือง
/ ผู้นำทางการเมือง
- การบริจาเงินสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง
- การร่วมชุมนุม /
ประชุมทางการเมือง
- การร่วมรณรงค์ทางการเมือง
3.
กิจกรรมต่อสู้ทางการเมือง
- เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
- การร่วมประชุมแกนนำพรรค
- การร่วมระดมทุน
- การเสนอตตัวเป็นคู่แข่งทางการเมือง
- การดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมทางการเมือง
และเสถียรภาพทางการเมือง
ฮันติงตัน
(Huntington) ได้เสนอตัวแบบในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง 3
สิ่งของสภาพการเมืองใน
ประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา
ความสัมพันธ์ดังกล่าวเรียกว่า “สมมุติฐานช่องว่าง (Gap Hypothesis)” คือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมทางการเมือง
และเสถียรภาพทางการเมือง โดยมีปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบดังนี้คือ
1.
การเคลื่อนย้ายทางสังคม (Social Mobilization : SM) คือการที่ประชาชนอพยพจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
ด้วยมีจุดมุ่งหมายว่าจะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เช่น
การอพยพเข้าไปอยู่ในเขตที่มีการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรม ,
เขตศูนย์กลางการศึกษาเป็นต้น ฯลฯ
2.
การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic
Development : ED)
จะพบในประเทศที่มีการวางแผนกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยมีแนวโน้มทำให้เกิดความมั่นใจว่าการพัฒนานั้นจะบรรลุเปาหมายได้
ถ้าสำเร็จก็จะทำให้ประชาชนมีความหวังมีความสุข
ถ้าล้มเหลวก็จะทำให้ประชาชนอึดอัดผิดหวัง
3.
ความคับข้องใจในทางสังคม (Social Frustration
: SF)
เกิดจากเมื่อคนพลาดหวังและผิดหวัง เช่น อุตสาห์ขายที่แล้วอพยพมาจากภาคอีสาน
เพื่อมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ปรากฏว่าไม่มีงานทำเลยผิดหวัง เกิดความคับแค้นใจอึดอัด
, จะมาต้องทิ้งไร่ทิ้งนามาหางานทำ ฯลฯ
คนในสังคมถ้ามีความผิดหวังมากจะทำให้สังคมนั้นมีอันตรายมาก
4.
การเลื่อนชั้นทางสังคม (Mobility Opportunity
MO) คนเราพยายามศึกษาและเข้าทำงานต่าง ๆ ก็หวังจะได้รับความก้าวหน้า
ในหน้าที่การงาน ฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการเลื่อนชั้นทางสังคม
5.
การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political
Participation PP) เป็นการแสดงออกทางการเมือง
เช่นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ ,การชุมนุม,การผลักดัน ,
การตัดสินใจของรัฐบาล
6.
การพัฒนาสถาบันทางการเมือง (Political
Institutionalization PIN) ความเป็นสถาบันนั้นจะหมายรวมถึง Adaptability
(ความสามารถในการปรับตัว) , Complexity (การมีองค์กรชุบซ้อน)
, Coherence (ความเป็นกลุ่มก้อน) และAutonomy (ความเป็นอิสระ)
เพื่อที่จะสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนถ้าประชาชนเดือดร้อนสถาบันทางการเมืองไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้
ประชาชนก็จะเกิดความอึดอัด , อัดอั้นตันใจ
มีมากขึ้นก็จะเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง
7.
การไร้เสถียรภาพทางการเมือง (Political Instability
PI) เกิดการเดินขวบวนขับไล่รัฐบาลทุกวัน
จนรัฐบาลไม่มีอันจะทำงานบริหารงานบ้านเมือง
ต้องคอยตอบโต้คอยปราบปรามและนักเดินขบวนก็ไร้ระเบียบเพิ่มขึ้นทุกวัน
ฮันติงตัน (Huntington) เสนอสมการสมมติฐานช่องว่าง (Gap Hypothesis) ขึ้น
3 สมการคือ
สมการที่ 1
|
การเคลื่อนย้ายทางสังคม(SM)
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ (ED) |
= ความคับข้องใจทางสังคม
(SF)
|
สมการที่ 2
|
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ
(ED)
การเลื่อนชั้นทางสังคม (MO) |
= การเรียกร้องทางการเมือง
(PP)
|
สมการที่ 3
|
ความขับข้องใจในทางสังคม
(SF)
การพัฒนาสถาบันทางการเมือง (PIN) |
= การไร้เสถียรภาพทางการเมือง
(PP)
|
จากสมการที่ 1 : แสดงให้เห็นว่าถ้าหากการพัฒนาเศรษฐกิจ (E.D.) ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลคอร์รัปชั่น
มาก โครงการต่าง ๆ ทำไปแล้วก็ล้มเหลวโครงการพัฒนาต่าง ๆ ก็ล้มเหลว
ประชาชนไม่อยู่ดีกินดี ทำให้ประชาชนในช่วงที่มีที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจประสบความล้มเหลว
การเคลื่อนย้ายประชาชน (S.M.)
ก็จะมีมากขึ้นเพื่อหางานที่มีรายได้ที่ดีกว่าทำ จึงเกิดผลช่องว่างขึ้น ที่เรียกว่า
“ ความคับข้องใจทางสังคม” (S.F)
สมการที่ 2 เมื่อประชาชนย้ายเข้ามา
โดยมีความหวังจะได้งานทำที่ดีกว่ารายได้ที่ดีกว่าก็จะตามมา แต่ปรากฎว่าไม่มีงานทำ
งานอะไรก็ไม่มีขยาย ที่คาดการว่าจะได้เลื่อนชั้นทางสังคม มีรายได้ที่ดีกว่าจึงมีต่ำ
เกิดความคับข้องใจในสังคม เพิ่มขึ้น จึงก่อให้เกิดการเรรียกร้อง(การมีส่วนร่วม)ทางสังคมขึ้น(p.p) สมการที่ 3 ถ้าการสนองตอบต่อสถาบันการเมือง (p.insti)
ที่มีต่อคำร้องของประชาชนต่ำ การเรียกร้องต่อรัฐบาล (p.p) ก็ยิ่งจะมีมากขึ้นจนเกิดความวุ่นวาย อันจะนำไปสู่การไร้เสถียรทางการเมือง (p.insta)
สรุป
1. ถ้าการพัฒนาเศรษฐกิจประสบความล้มเหลว
ที่เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเรียกร้องทางการเมือง (political
instability) การเรียกร้องทางการเมืองจะยิ่งสูงขึ้น
ถ้าหากว่าสถานบันการเมือง ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้
ในที่สุดก็จะนำไปสู่การไร้เสถียรภาพทางการเมือง 2. การเคลื่อนย้ายทางสังคม (social mobilization) และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
(economic development) นั้นสัมพันกันในทางตรงกันข้ามและหากยิ่งเกิดความแตกต่างกันมากขึ้นจะทำให้เกิด
การขับข้องใจในสังคม (social frustration)ซึ่งสามารถบอกได้ว่าหาก
เกิดการคับข้องใจในสังคมยิ่งมากขึ้น ในขณะที่โอกาสในนการเลื่อนชั้นในสังคม (mobility
opportunity) ก็ยิ่งจะตกต่ำ จะก่อให้เกิด การเรียกร้องทางการเมือง
3. แนวคิดนี้จะต้องอธิบายถึงช่วงแห่งเวลา (period of time) ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475-2500,2501-2516,2522-2534 เป็นต้น และลักษณะที่จะเเกิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนา และจะเห็น ปรากฎการเช่นนี้ เมื่อการพัฒนาประสบความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจ
3. แนวคิดนี้จะต้องอธิบายถึงช่วงแห่งเวลา (period of time) ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475-2500,2501-2516,2522-2534 เป็นต้น และลักษณะที่จะเเกิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนา และจะเห็น ปรากฎการเช่นนี้ เมื่อการพัฒนาประสบความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ส่วนที่ 3 : ระบบการเมือง การเมือง / การปกครองของไทย (รศ. ดร. ไพศาล
สุริยะมงคล)
แนวคิดการเมืองการปกครองของไทย -
* สังคมการเมืองและวัฒนธรรม
1. การเชื่อมโยงระหว่างการเมืองกับการบริหาร
2. สังคมพยุหนิยม = คนในสังคมอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและมีผู้นำ “leadership “ มีการรวมกลุ่มกัน คัดค้าน , ต่อต้าน
ประวัติของคนไทย = เชื่อว่าคนไทยเดิมอาศัยทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน (ยูนานปัจจุบัน) และ ได้ทำ การอพยพออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้คือ
กลุ่มแรกเป็นการอพยพครั้งแรกกลุ่มคนเพียงเล็กน้อยค่อย ๆ ไหลลงมาหาดินแดนที่อุดม
2. สังคมพยุหนิยม = คนในสังคมอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและมีผู้นำ “leadership “ มีการรวมกลุ่มกัน คัดค้าน , ต่อต้าน
ประวัติของคนไทย = เชื่อว่าคนไทยเดิมอาศัยทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน (ยูนานปัจจุบัน) และ ได้ทำ การอพยพออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้คือ
กลุ่มแรกเป็นการอพยพครั้งแรกกลุ่มคนเพียงเล็กน้อยค่อย ๆ ไหลลงมาหาดินแดนที่อุดม
สมบูรณ์ และตั้งหลักฐานอยู่ กลุ่มที่การอพยพครั้งที่ 2 เป็นการอพยพเป็นกลุ่มใหญ่หนีการลุกรานจากพวก
มองโกลที่รุกรานจีน ส่วน stationary เป็นชุมชนท้องถิ่นกลุ่มเดิม เช่น
ขอม, มอญ, พม่า เป็น dominant
power (มหาอำนาจในหน้าที่)
ยุคทิ่ 1 ค.ศ. 9-13 : อพยพจากยูนานมาอยู่กับมอญในละแวกสุโขทัย ต่อมายึดอำนาจจากขอม ยุคที่ 2 สุโขทัย : รูปแบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูกปกครองโดยกษัตริย์ที่มีคุณธรรม ยุคที่ 3 อยุธยา : รูปแบบการปกครองแบบนาย / ไพร่ ปกครองแบบเทวราชา / กษัตริย์เป็นสมมติเทพตาม
ความเชื่อของพราหมณ์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบอุปถัมภ์
ยุคที่ 4 รัตนโกสินทร์ตอนต้น : ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช การเมือง / สังคม เปลี่ยนแปลงมากเนื่องจาก
มี ความสัมพันธ์กับชาติ
ยุคทิ่ 1 ค.ศ. 9-13 : อพยพจากยูนานมาอยู่กับมอญในละแวกสุโขทัย ต่อมายึดอำนาจจากขอม ยุคที่ 2 สุโขทัย : รูปแบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูกปกครองโดยกษัตริย์ที่มีคุณธรรม ยุคที่ 3 อยุธยา : รูปแบบการปกครองแบบนาย / ไพร่ ปกครองแบบเทวราชา / กษัตริย์เป็นสมมติเทพตาม
ความเชื่อของพราหมณ์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบอุปถัมภ์
ยุคที่ 4 รัตนโกสินทร์ตอนต้น : ปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช การเมือง / สังคม เปลี่ยนแปลงมากเนื่องจาก
มี ความสัมพันธ์กับชาติ
ตะวันตก แนวทางความเชื่อแบบพุทธ + พราหมณ์
ยุคที่ 5 พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน : แบบประชาธิปไตย มีกษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นแบบในการปกครอ
ตัวแบบการวิเคราะห์ทางการเมือง
* การวิเคราะห์ผ่านทางวัฒนธรรมการเมืองของไทย : ความเชื่อในกฎแห่งกรรม ผู้ได้ปกครองยอมให้ปกครอง ไม่ต่อต้านผู้มีอำนาจยอมรับบทบาทของผู้มีอำนาจ
ยุคที่ 5 พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน : แบบประชาธิปไตย มีกษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นแบบในการปกครอ
ตัวแบบการวิเคราะห์ทางการเมือง
* การวิเคราะห์ผ่านทางวัฒนธรรมการเมืองของไทย : ความเชื่อในกฎแห่งกรรม ผู้ได้ปกครองยอมให้ปกครอง ไม่ต่อต้านผู้มีอำนาจยอมรับบทบาทของผู้มีอำนาจ
1) เป็นพฤติกรรมที่คล้อยตามผู้นำ
2) เชื่อกฎแห่งกรรม
3) ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ 4) เกิดความเฉื่อยชา
* ระบบอุปถัมภ์ : ระบบอุปถัมภ์ เป็นลัทธิการรวมตัวของกลุ่มผลประโยชน์ ส่วนมากจะเกิดขึ้นในสังคมเกษตรกรรม จะพบระบบอุปถัมภ์ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการลักษณะเด่นของระบบอุปถัมภ์ที่สำคัญมีดังนี้คือมีความสัมพันธ์เชิงคู่ คือ
* ระบบอุปถัมภ์ : ระบบอุปถัมภ์ เป็นลัทธิการรวมตัวของกลุ่มผลประโยชน์ ส่วนมากจะเกิดขึ้นในสังคมเกษตรกรรม จะพบระบบอุปถัมภ์ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการลักษณะเด่นของระบบอุปถัมภ์ที่สำคัญมีดังนี้คือมีความสัมพันธ์เชิงคู่ คือ
1) ในแนวดิ่งแบบเจ้านายกับลูกน้อง (Vertical relation) 2) แบบเกื้อกูล (Reciprocal
Relation) – ระหว่างนายกับลูกน้อง 3) แบบส่วนตัว (Personal Relation) – ไม่เป็นทางการเช่น
เครือญาติ เพื่อนฝูง 4) การฝากตัว
สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ = ระบบข้าราชการ = ข้าราชการกับพ่อค้า = ข้าราชการกับชาวนา
*
Bureaucratic Policy Model : ระบบราชการ ( Fred W. Riggs) มีลักษณะดังนี้คือ 1. ข้าราชการเข้าครอบงำ
2. ข้าราชการเป็นตัวขับเคลื่อนสู่ตำแหน่งที่สำคัญ ๆ อยากรู้ว่าใครมีอำนาจให้ดูที่การช่วงชิงตำแหน่ง
ในข้าราชการ
แลการแย่งชิงงบประมาณ
การเมืองที่ถูกครอบงำโดยระบบราชการซึ่ง ศาสตราจารย์ Fred W. Riggs ได้วิเคราะห์การเมืองไทยว่า สังคมไทยตั้งแต่งเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 การเมืองได้ถูกระบบราชการครอบงำมีลักษณะ
ทั้งภายในและภายนอกดังนี้คือ
- ลักษณะภายนอก ระบบราชการนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบราชาธิปไตย (สมบูรณาญาสิทธิราช) มาเป็นระบบประขาธิปไตย ทำให้ข้าราชการมีอำนาจมากขึ้น ได้วิเคราะห์คณะราษฎร์ไม่ได้นำเอาระบบประชาธิปไตยมาใช้ แต่เป็นการนำเอาระบบ “อำมาตยาธิปไตย” มาใช้มากกว่า ดังนั้นจึงมีการจัดตั้งองค์การทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของข้าราชการมีผลทำให้การเมืองเป็นการต่อสู้เพื่อแสวงหาอำนาจ , ความมั่นคง
- ลักษณะภายใน เป็นแนวคิดที่มีการจัดองค์การธรุกิจเข้าด้วยกัน โดยที่การบริหารงานบุคคลและงบประมาณ จะไม่สามารถปฏิบัติงานภายนอกที่ได้รับมอบหมายได้ ถ้าไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลเรียกร้อง ซึ่งจะทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์
- ลักษณะภายนอก ระบบราชการนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบราชาธิปไตย (สมบูรณาญาสิทธิราช) มาเป็นระบบประขาธิปไตย ทำให้ข้าราชการมีอำนาจมากขึ้น ได้วิเคราะห์คณะราษฎร์ไม่ได้นำเอาระบบประชาธิปไตยมาใช้ แต่เป็นการนำเอาระบบ “อำมาตยาธิปไตย” มาใช้มากกว่า ดังนั้นจึงมีการจัดตั้งองค์การทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของข้าราชการมีผลทำให้การเมืองเป็นการต่อสู้เพื่อแสวงหาอำนาจ , ความมั่นคง
- ลักษณะภายใน เป็นแนวคิดที่มีการจัดองค์การธรุกิจเข้าด้วยกัน โดยที่การบริหารงานบุคคลและงบประมาณ จะไม่สามารถปฏิบัติงานภายนอกที่ได้รับมอบหมายได้ ถ้าไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลเรียกร้อง ซึ่งจะทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์
*
ลักษณะของ
- ระบบราชการปราศจากการถูกควบคุมหรือกำหนดทิศทาง
โดยพลังนอกระบบราชการ -
ระบบการเมือง
จะเล่นกันระหว่างคณะบุคคลที่มีความเห็นขัดแย้งกันมากกว่า
กลุ่มผลประโยชน์ Group
Model การรวมตัวของกลุ่มเพื่อกดดันให้รัฐบาล
/ หน่วยงานกำหนดนโยบาลที่กลุ่มต้องการ มีลักษณะดังนี้คือ
1. เป็นสังคมที่มีการรวมตัวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ซับซ้อนขึ้น
2. เป็นการรวมตัวแบบแนวนอนมีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น
3. รวมตัวเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิก
4. เป็นลักษณะเป็นทางการ มีกฎข้อบังคับ , มีการจดทะเบียน
1. เป็นสังคมที่มีการรวมตัวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ซับซ้อนขึ้น
2. เป็นการรวมตัวแบบแนวนอนมีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น
3. รวมตัวเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิก
4. เป็นลักษณะเป็นทางการ มีกฎข้อบังคับ , มีการจดทะเบียน
5. สมาชิกมีบทบาทและหน้าที่ได้เล่นได้ดำเนินการต่างจากระบบอุปถัมภ์
วิเคราะห์ตัวแบบเสรีนิยมกับสังคมไทย
ตัวแบบ |
ผลที่เกิดขึ้น
|
- เป็นประชาธิปไตย
|
-
เปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ. ศ. 2475 มีการยึดอำนาจสลับกับการเลือกตั้ง ไม่มีการพัฒนาทางการเมืองในเชิงก้าวหน้า
|
- ความเท่าเทียมทางสังคม
|
-
จากแผนพัฒนาฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบันรายยได้คนเพิ่มขึ้น
/ เป็นลักษณะคนรวยก็รวยยิ่งขึ้น คนจนก็จนลง เฃ่นคนรวย
เป็นกระจุก คนจนกระจาาย
|
- ความมีเสถียรภาพ
|
-
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 มีการใฃ้ความรุนแรงตลอดมาตั้งแต่
14 ต.ค. 16 , 6 ต.ค. 19 และ 20 พ.ค. 35 (พฤษภาทมิฬ)
|
ตัวแบบการวิเคราะห์สังคมไทย
ได้เสนอแนวคิด 4 ขั้นตอนคือ
ได้เสนอแนวคิด 4 ขั้นตอนคือ
รูปแบบ
|
ลักษณะ
|
- Autocratic Model
(ปกครองโดยขุนนาง)
|
-
เน้นการปกครองของสังคมโบราณ ปกครองโดยขุนนาง
-
การพัฒนาจะสร้างชนชั้นการมากขึ้น อำนาจถ่ายโอนไปชนชั้นกลาง
|
-
Bourgeois Model (ปกครองโดยชนชั้นกลาง
|
-
นายทุนมีอำนาจเป็นผู้ปกครอง มุ่งมั่นในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ
-
นายทุนคือชนชั้นกลางซึ่งเป็นผลจาก Autocratic Model เช่น มามีส่วนร่วมทางการเมือง
|
-
Technocratic Model (ปกครองโดยมืออาชีพ)
|
-
การบริหารโดยมืออาชีพ
-
คนมีการศึกษามากขึ้น , นายทุนใช้อำนาจ
-
เกิดกลุ่มผลประโยชน์ , เกิดเผด็จการ
-
เกิดช่องว่างมากขึ้น (จน / รวย) เสถียรภาพทางการเมืองน้อย
การแก้ไข ให้มี น้อยที่สุด ผลักดันให้ขุนนางลดบทบาทลง
|
Populist
Model (ปกครองโดยประชาชน)
|
-
การปกครองโดยประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วม เกิดประชาธิปไตย
-
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลางส่วนใหญ่ เกิด “วัฎฐจักรของความชั่วร้าย”
การแก้ไข
ให้มีการพัฒนาหรือสร้างเกณฑ์ให้ม่ส่วนร่วมทางการเมืองอย่างทั่วถึงกัน
โดยให้ทุกภายอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ กติกา
|
1. แบบ : มีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย → การพัฒนาเศรษฐกิจ / สังคมมาก
→ เกิดช่องว่างมากขึ้น →
เสถียรภาพทางการเมืองมีน้อย
2. แบบ : การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีมาก → เกิดความเท่าเทียมกับเศรษฐกิจและสังคม → การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมน้อย → เสถียรภาพทางการเมืองน้อย
การเมืองไทยภายใต้รับธรรมมนูญ ปี พ.ศ. 2535 รูปแบบประชาธิปไตย
2. แบบ : การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีมาก → เกิดความเท่าเทียมกับเศรษฐกิจและสังคม → การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมน้อย → เสถียรภาพทางการเมืองน้อย
การเมืองไทยภายใต้รับธรรมมนูญ ปี พ.ศ. 2535 รูปแบบประชาธิปไตย
3
ฐาน เป็นรูปแบบเผื่อเลือกสำหรับการเมืองไทยในปัจจุบัน
ซึ่งจะประกอบด้วย สถาบันกษัตริย์ ระบบราชการ และฐานอำาจอื่น ซึ่งมีลักษณะถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันกล่าวคือ
1. สถาบันกษัตริย์ (Kingship)
จะลอยตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
แต่ถ้าเกิดระบบราชการเกิดขัดแย้งกับพลังนอกระบบอย่างรุนแรง
จนเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง สถาบันกษัตริย์ ก็จะลงมาระงับปรัญหาความขัดแย้ง
เพื่อแก้ไขวิกฤติการณ์ เช่น กรณี พฤษภาทมิฬ (20 พ.ค. 2535)
2. ระบบราชการได้แกัข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ซึ่งเข้ามามีอำนาจครอบงำการเมือง
จะเป็นตัวที่คอยถ่วงดุลต่อพลังนอกระบบ
ไม่ให้เข้ามาแทรกแซงหรือเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบราชการ
ซึ่งจะเห็นได้ว่ารูปแบบประชาธิปไตย 3 ฐานนี้จะดำรงอยู่ได้ ถ้าสถาบันกษัตริย์
, ระบบราชการ และพลังนอกระบบ มีการตรวจและถ่วงดุลกันอยู่เสมอ
3. พลังนอกระบบ ได้แก่กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พรรคการเมือง ,สื่อมวลชน, กลุ่มพ่อค้านักธรุกิจ เป็นต้น จะเป็นตัวคอยถ่วงดุลและตรวจสอบระบบราชการ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
3. พลังนอกระบบ ได้แก่กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พรรคการเมือง ,สื่อมวลชน, กลุ่มพ่อค้านักธรุกิจ เป็นต้น จะเป็นตัวคอยถ่วงดุลและตรวจสอบระบบราชการ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
-
สาเหตุของการเปลี่ยนแลงไปสู่ประชาธิปไตยสามฐาน
1. การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม
2. การเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน
3. การเปลี่ยนแปลงลักษณะของความสัมพันธ์
จากความสัมพันธ์ส่วนตัว (Personalized) ไปเป็นความสัมพันธ์
เชิงสถาบัน
4. การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มพลังนอกระบบราชการ
5. การเพิ่มขึ้นของนักธรุกิจการเมือง
6. ท่าทีประนีประนอมของระบบราชการและผู้นำ
-
การบริหรกับการเมือง
1. แนวความคิดการแยกการเมืองออกจากบริหาร
2. แนวคิดการไม่สามารถแยกการเมืองและการบริหารออกจากกันได้
F.M. Mark. D. Waldo และ N. Long
- กระบวนการกำหนดนโยบาย
จะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ / บริหารด้วย
- นักการเมืองจำเป็นต้องอาศัยข้อมูล
/ ข้อเท็จจริง จากฝ่ายบริหาร / ข้าราชการประจำ
- เนื่องจากนโยบายของฝ่ายทางการเมืองจะมีลักษณะอย่างกว้าง
ๆ
และเป็นนามธรรมสูงข้าราชการประจำจำเป็นต้องอาศัยดุลพินิจในการตีความขยายความเพื่อนำนโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติให้ได้ผล
จึงไม่แตกต่างไปจากกระบวนการกำหนดนโยบายของฝ่ายการเมือง
3. ความแตกต่างระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำ
ลักษณะของความแตกต่าง
|
นักการเมือง
|
ข้าราชการประจำ
|
1.
การดำรงตำแหน่ง
|
เลือกตั้งจากประชาชน
และแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจทางการเมือง
|
การสอบตามระบบคุณธรรม
|
2.
ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง
|
เป็นไปตามวาระ
(ไม่เกิน 4 ปี)
|
ตั้งแต่บรรจุจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ
|
3.
ความมั่นคงในอาชีพ
|
มีน้อย
|
มีมากกว่า
|
4.
ระดับวุฒิการศึกษา
|
ต่ำกว่าโดยเฉลี่ย
|
สูงกว่าโดยเฉลี่ย
|
5.
ความชำนาญงาน
|
มีความรู้ทั่ว
ๆ ไป
|
Speciallzation
|
6.
ความเป็นกลางทางการเมือง
|
ต้องสนับสนุนพรรค
|
ต้องเป็นกลาง
|
7.
ข้อจำกัดทางพฤติกรรม
|
ผันแปรตามมติมหาชนและข้อเรียกร้องของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
|
ปฏิบัติตามกรอบของกฏหมาย
|
8.
อายุการเข้าดำรงตำแหน่ง
|
-
|
18-60
ปี
|
9.
ผลประโยชน์ที่ได้รับ
|
ไม่มาก,บำนาญน้อย
|
บำนาญมากกว่า
|
(ธรรมรัฐ) : หมายถึง รัฐที่เป็นธรรม มีองค์ประกอบ
คือ
1. ทำงานด้วยความรับผิดชอบ
ความมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้
2. เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
3.มีความโปร่งใส
และสามารถตรวจสอบได้
4. มีความสามารถที่จะคาดการณ์อนาคตได้
(Vision)
5. มีระบบกฏหมายที่ให้ความยุติธรรมต่อสังคม
และปัจเจกบุคคล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น