ลักษณะสังคมไทย รากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยในปัจจุบัน
ลักษณะสังคมไทย
รากฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยในปัจจุบัน
เศรษฐกิจของสังคมไทยในปัจจุบัน เป็นเศรษฐกิจทุนนิยมโดยพื้นฐาน คือชีวิตทางเศรษฐกิจของคนส่วนใหญ่ในสังคมดำเนินไปตามวิถีการผลิตแบบทุนนิยม(1) แต่เศรษฐกิจทุนนิยมของสังคมไทยนั้นมีลักษณะแตกต่างจากทุนนิยมในประเทศตะวันตกที่เป็นต้นกำเนิด ความแตกต่างที่สำคัญคือ การก่อกำเนิด ทิศทางและกระบวนการพัฒนาที่ผ่านมา และโครงสร้างของเศรษฐกิจทุนนิยมไทย
จากที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษใช้สนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่ไม่เสมอภาค (พ.ศ.2398) บีบบังคับไทยให้เปิดประเทศ โดยไทยต้องเสียเปรียบในด้านการค้า การศาล และการเก็บภาษี ต่อมามหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ ก็ได้เข้ามาทำสัญญาเช่นเดียวกันนี้กับไทย การรุกรานของเหล่านักล่าอาณานิคมครั้งกระนั้นได้ทำให้พื้นฐานเศรษฐกิจที่ผลิตเองใช้เองในสังคมศักดินาไทยค่อยๆ สลายตัวลง ขณะเดียวกันก็ได้เร่งให้ปัจจัยทุนนิยมขยายตัวขึ้น การผลิตเพื่อขายเริ่มแพร่หลาย การขูดรีดที่เจ้าขุนมูลนายเก็บส่วยจากไพร่ และเจ้าที่ดินรีดนาทาเร้นค่าเช่านาและดอกเบี้ยสูงจากชาวนาในระบบศักดินา ได้เปลี่ยนไปเป็นการขูดรีดด้วยกลไกตลาดที่ผูกขาดมากขึ้นๆ
เหล่าจักรพรรดินิยมนักล่าอาณานิคมไม่ได้ต้องการพัฒนาประเทศไทยเป็นทุนนิยม หากต้องการได้ไทยเป็นตลาดของผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม และแหล่งวัตถุดิบราคาถูกตามยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจในยุคนั้น ดังนั้น ในขณะที่ทำให้เกิดปัจจัยทางทุนนิยมขึ้นในสังคมไทย อีกด้านหนึ่งก็ได้ทำลายขัดขวางการพัฒนาทุนนิยมในไทยด้วย หัตถกรรมพื้นเมือง เช่นการทอผ้า การทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่ง
เป็นหน่ออ่อนของทุนนิยมแห่งชาติที่เริ่มฟักตัวขึ้นในสังคมศักดินาก็ถูกทำลาย
ขัดขวางไม่ให้เจริญเติบโตโดยสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างชาติ
นอกจากนายทุนต่างชาติ นายทุนไทยที่เกิดในยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นนายทุนพาณิชย์และการเงินซึ่งมาจากเจ้านายและขุนนางในราชสำนัก เช่นเจ้าภาษีอากร และพ่อค้าชาวจีนจำนวนหนึ่งที่เป็นบริวารพึ่งพิงขุนนางศักดินา นายทุนไทยเหล่านี้ ทำ
หน้าที่เป็นนายหน้ารับใช้นายทุนล่าเมืองขึ้นต่างชาตินำสินค้าสำเร็จรูปทาง
อุตสาหกรรมจากต่างประเทศเข้ามาและส่งออกสินค้าประเภทวัตถุดิบซึ่งเป็นผลิตผล
ทางเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าของไทย เช่น ข้าว ไม้ และแร่ธาตุ เป็นต้น แทบจะไม่มีนายทุนการผลิตอิสระที่มาจากชาวบ้านธรรมดาเลย
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เมื่อเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ถูกปฏิเสธโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม คณะราษฎรก็ได้ชูเศรษฐกิจแบบชาตินิยมแห่งรัฐ จัดตั้งองค์กรรัฐวิสาหกิจทางการค้า อุตสาหกรรม และการเงิน จำนวนหนึ่ง ต่อมา หลังจากกลุ่มขุนศึกนำโดยพล.ท.ผิน ชุณหะวัณทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2490 ซึ่งมีเป้าหมายต้องการทำลายล้างอำนาจฝ่ายก้าวหน้าของคณะราษฎร ก็ได้แปรระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโดยรัฐ (state capitalism) มาเป็นระบบทุนนิยมขุนนาง (bureaucratic capitalism) กล่าวคือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นในสมัยคณะราษฎรที่ลงทุนโดยรัฐ ได้กลายเป็นวิสาหกิจที่เหล่าขุนนางทหารในคณะรัฐประหารใช้เป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ เป็นผู้ถือหุ้นและรับผลตอบแทนโดยไม่ต้องลงทุนส่วนตัว รัฐวิสาหกิจแบบทุนนิยมขุนนางนี้ได้ขยายตัวมากขึ้นครอบคลุมและผูกขาดอุตสาหกรรมและการค้าสำคัญๆ ในสมัยนั้นและในสมัยของรัฐบาลเผด็จการขุนศึกต่อมา เช่น การผลิตกระดาษ น้ำตาล กระสอบ กลั่นน้ำมัน โรงเหล้า การค้าข้าว และค้าหมู เป็นต้น นอกจากนั้นกลุ่มขุนศึกเผด็จการยังใช้อำนาจรัฐโกงกินภาษีและงบประมาณของรัฐ ใช้อิทธิพลประกอบกิจการที่เป็นภัยต่อสังคม พวกเขาก็คือกลุ่มนายทุนขุนนางนายหน้า ไม่ได้สนใจพัฒนาพลังการผลิตของทุนนิยมให้ก้าวหน้า ซ้ำยังขัดขวางและบีบบังคับนายทุนเอกชนจนขาดอิสระเสรีในการพัฒนาขยายตัว นอกจากนายทุนเอกชนรายใหญ่ที่แบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มทหารเผด็จการเพื่อแลกกับอำนาจการคุ้มครอง จึงสามารถเติบโตได้จนกลายเป็นนายทุนใหญ่ ซึ่งส่วนมากก็เป็นนายทุนการเงินและการค้า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรพรรดินิยมอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลในไทยแทนที่จักรพรรดินิยมอังกฤษ และในปี 2501 กลุ่มขุนศึกสฤษดิ์ทำการรัฐประหาร สร้างอำนาจรัฐเผด็จทหารภายใต้การสนับสนุนของจักรพรรดินิยมอเมริกา ก็ได้เร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจของทุนนิยม เพื่อเป็นปราการสกัดกั้นการขยายตัวของเศรษฐกิจสังคมนิยมตามยุทธศาสตร์ของอเมริกา รัฐบาลได้ชูนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเอกชนและการลงทุนของต่างชาติโดยให้สิทธิพิเศษและการยกเว้นภาษีต่างๆ ส่วนรัฐเองก็ทุ่มเทงบประมาณ (โดยการกู้ยืมจากธนาคารโลกที่สหรัฐเป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง) ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่เส้นทางคมนาคมและสิ่งสาธารณูปโภค เพื่อรองรับการขยายตัวทางอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนโดยต่างชาติ ด้วยนโยบายดังกล่าว ทำให้การผลิตทางอุตสาหกรรมในไทยได้ขยายตัวไปมากพอสมควร ในขณะเดียวกันการค้า การเงิน และการบริการอื่นๆ ก็ได้ขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน
อุตสาหกรรมที่ขยายตัวในช่วงนี้ เป็นอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า คือประเทศทุนนิยมที่พัฒนามาลงทุนทำการผลิตในไทยแทนการส่งสินค้ามาขาย ซึ่งได้เปรียบที่ได้ค่าแรงงานต่ำ ทุ่นค่าขนส่ง และยังได้รับสิทธิพิเศษการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ เป็นต้น
หลัง 14 ตุลา 2516 สหรัฐอเมริกาซึ่งยังคงมีอิทธิพลสำคัญในทางเศรษฐกิจของไทย ต้องการเร่งรัดพัฒนาไทยให้เข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก ที่ประเทศมหาอำนาจทุนนิยมเป็นแกนกลาง โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวโจก ในช่วงนี้ นักลงทุนจากต่างชาติเริ่มหันไปเน้นอุตสาหกรรมการส่งออก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น หลังจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของโลก เมื่อปี 2514 (ค.ศ. 1971)(2) ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาก ญี่ปุ่นจึงมียุทธศาสตร์ที่ต้องการย้ายการผลิตที่ต้องใช้แรงงานมากมาไทย เพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าส่งออกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุนญี่ปุ่นจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาไทย ทั้งในรูปการลงทุนถือหุ้นในบริษัทและการให้เงินกู้ ประเทศมหาอำนาจทุนนิยมอื่นๆ ได้แก่สหรัฐและกลุ่มประเทศยุโรป ก็ได้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ในช่วง 2 ทศวรรษ (20ปี )หลัง 14 ตุลา การลงทุนของต่างชาติ และการขยายตัวของการค้า การเงินการผลิตและการบริการภายในประเทศได้ทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมของไทยพัฒนาขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเป็นอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า หรืออุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ล้วนไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีภายในของประทศ ยังต้องอาศัยการนำเข้าทุน เครื่องจักร เทคโนโลยี กระทั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนายทุนต่างชาติและนายทุนนายหน้าในชาติได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่พลังการผลิตทางอุตสาหกรรมภายในประเทศของไทยไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
เมื่อโลกได้ก้าวสู่ยุคที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ที่การสื่อสารติดต่อเป็นไปอย่างฉับไว ทำให้อิทธิพลของมหาอำนาจทุนนิยมยิ่งแผ่กระจายออกไปครอบครอง และดูดซับผลประโยชน์จากประชาชนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและไร้พรมแดน ยุทธศาสตร์สำคัญของมหาอำนาจทุนนิยมในยุคนี้ คือการใช้เงินทุนเป็นอาวุธสำคัญในการปล้นทำลายชาติอื่นให้เป็นทาสทางเศรษฐกิจ โดยการอ้างทฤษฏีทุนนิยมเสรี ตลาดเสรี มาสร้างวิถีแห่งการครองโลกแบบใหม่ด้วยการผลักดันให้ประเทศต่างๆ ยอมรับในสิ่งที่เรียกว่า ระบบการค้าเสรี การลงทุนเสรี การเงินเสรี ตลาดทุน ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิดประตูกว้าง โดยการผ่านระบบและกลไกเหล่านี้ และด้วยการอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไอที สารสนเทศ และการสื่อสารโทรคมนาคม พวก
มหาอำนาจทุนนิยมสามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าไปทำการเก็งกำไรและกอบโกยผล
ประโยชน์มหาศาลจากประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าไปสู่พวกเขาได้อย่างเสรีและรวดเร็ว
โดยผ่านตลาดเงินตลาดทุน ในแต่ละปีปริมาณของเงินตราที่เคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมีจำนวนเพิ่มสูงมาก คิดเป็น 90% ของปริมาณเงินทุนที่หมุนเวียนในโลกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าปริมาณเงินทุนที่หมุนเวียนเกี่ยวกับการผลิต การค้า และบริการ ที่เหลือเพียง 10 % ถึง 9 เท่า คราวใดที่กองทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ทุ่มเงินเข้ามาในตลาดค้าเงิน หรือตลาดหลักทรัพย์ของประเทศใด จะทำให้ค่าเงินประเทศนั้นแข็งขึ้น หรือดัชนีหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อกองทุนเหล่านี้เห็นว่าได้กำไรมากพอแล้ว หรือมีตลาดที่อื่นให้ผลกำไรมากกว่าก็จะถอนเงินทุนออกไปอย่างรวดเร็วทันที ทำให้เศรษฐกิจการเงินของประเทศนั้นปั่นป่วน หรืออาจถึงขั้นถดถอยกระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจร้ายแรง จากนั้นก็เป็นโอกาสที่ทุนใหญ่ผูกขาดข้ามชาติจะได้เข้าไปครอบครองธุรกิจทางการผลิต การเงิน การค้าและการบริการ และที่สำคัญคือทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นมหาอำนาจทุนนิยมในยุคโลกาภิวัตน์นี้ก็คือ จักรพรรดินิยมเงินทุน ที่ไม่ใช้เรือปืน แต่ใช้เงินทุนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาปล้นชิงทรัพยากรและความมั่งคั่งของประเทศที่อ่อนแอกว่า เพื่อบรรลุจุดหมายในการครอบครองโลกทั้งโลก
ไทยถูกผนวกเข้าในกระแสการค้าเงินและการลงทุนเสรีอย่างเต็มตัว ด้วยการดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงินในปี 2535 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ได้ตั้งวิเทศธนกิจไทย ( Bangkok International Banking Facilities - BIBF) เพื่อส่งเสริมธุรกิจการธนาคารและสถาบันการเงินระหว่างประเทศให้มีการไหลเข้าออกของเงินตราอย่างเสรีและสะดวกรวดเร็ว แต่รัฐบาลก็ไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมในพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยเองและไม่ได้ตระเตรียมมาตรการป้องกันผลเสียที่จะตามมา ช่วงนั้นทั้งภาครัฐและโดยเฉพาะเอกชนได้กู้เงินจากต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าภายในประเทศมากเพื่อมาลงทุนเก็งกำไรในตลาดหุ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และทำกำไรส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน โดยไม่ได้มุ่งการลงทุนเพื่อพัฒนาการผลิต จนเกิดปรากฏการณ์ฟองสบู่แตก และนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2540(3) ไทยถูกโจมตีค่าเงินบาทโดยทุนเก็งกำไรขนาดใหญ่ของต่างชาติ ค่าเงินบาทลดค่าลงอย่างมาก ทำให้หนี้สินต่างประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทเอกชนจำนวนมากที่มีหนี้ต่างประเทศสูงต้องเลิกกิจการ บ้างถึงขั้นล้มละลาย ต้องจำยอมขายธุรกิจให้ทุนต่างชาติในราคาที่ถูกหรือให้ทุนต่างชาติเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ เป็นโอกาสให้กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดต่างชาติได้เข้ามาควบรวมและครอบครองธุรกิจสำคัญๆ ของคนไทยจำนวนมาก มีเพียงธุรกิจที่มีหนี้ต่างประเทศน้อยหรือมีลักษณะผูกขาด กึ่งผูกขาด เช่นรับสัมปทานจากรัฐหรือที่ได้ร่วมทุนกับต่างชาติมาก่อน มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วจนล้ำหน้ากลุ่มทุนอื่นๆ ไปมาก และเพื่อที่จะดำรงการผูกขาดและเติบใหญ่ขยายตัวไปอย่างไม่สิ้นสุด ธุรกิจเหล่านี้ก็ได้เข้าสู่ระบบธุรกิจการเมืองอย่างเต็มตัว บ้างก็ช่วงชิงเป็นผู้กุมอำนาจรัฐโดยตรง เช่นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมของทักษิณ บ้างก็เข้าไปแสวงผลประโยชน์ทางการเมืองในฐานะเป็นผู้อุปถัมภ์กลุ่มการเมือง เช่นกลุ่มเหล้าเบียร์ของเจริญ ศิริวัฒนา กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น ปัญหาของธุรกิจการเมือง นับเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งของวิกฤติการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบันนี้
สถานการณ์ปั่นป่วนของค่าเงินบาทและตลาดหุ้นที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วและผันผวนมากในไทย และประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชีย ลาตินอเมริกา ในระยะ2-3ปีนี้(2552-2554) มานี้ ก็เป็นฝีมือของกลุ่มทุนผูกขาดครอบโลกที่เป็นทุนการเงินเก็งกำไรข้ามชาตินั่นเอง(4)
นอกจากการครอบโลกด้วยเงินทุน ในยุคโลกาภิวัตน์ ประเทศมหาอำนาจทุนนิยมยังได้ครอบงำเศรษฐกิจด้านอื่นๆของโลก คือการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า การขนส่ง การสื่อสารโทรคมนาคมและการสื่อสารมวลชนโดยผ่านบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งเรียกกันว่า บรรษัทลงทุนข้ามชาติ (Transnation Corporation) ซึ่งถือหุ้นโดยนายทุนใหญ่ของประเทศทุนนิยมที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปเป็นส่วนมาก เพราะนายทุนใหญ่เหล่านี้ได้มีการสะสมเงินทุนไว้มาก และเพื่อที่จะแสวงกำไรเพิ่มมากขึ้นจึงได้ขยายเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพื่อที่จะมีอำนาจในการกำหนดราคา กำหนดต้นทุนในขอบเขตของตลาดโลก ยิ่งกว่านั้น บรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่บางแห่งยังมีอำนาจเหนือรัฐบาลในประเทศมหาอำนาจทุนนิยม สามารถกำหนดให้รัฐบาลดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจหรือนโยบายการต่างประเทศที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของบรรษัท เช่น สนับสนุนให้รัฐบาลโค่นล้มรัฐบาลชาตินิยมในประเทศกำลังพัฒนาที่ขัดขวางผลประโยชน์ของบรรษัท บรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่บางแห่งมียอดขายมากกว่าผลผลิตรวมของประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้า Wal-Mart มีสาขาทั่วโลก มียอดขายปีละ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศไทย และมีการประมาณว่า ครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอยู่ในกำมือของบริษัทข้ามชาติเพียง 100 บริษัท(5)
วิธีการของทุนครอบโลกที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การผลักดันให้ประเทศต่างๆ ทำเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ (Free Trade Area) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มประเทศทางเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันในกลุ่มลงเป็น 0% ครอบคลุมสินค้าที่ค้าขายระหว่างกันให้มากพอ ในการทำข้อตกลงทางการค้าเสรีกับประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่า เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน อย่างไม่ระมัดระวังและไม่รู้เท่าทันในการเจรจาต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศอย่างถึงที่สุด จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบได้ ตัวอย่างการทำเอฟทีเอกับสหรัฐ ไทยเสียเปรียบหลายอย่าง เช่น การถูกลดอำนาจศาลไทย โดยการตกลงให้ใช้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศตัดสินกรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างรัฐกับบริษัทเอกชนแทน และปัญหาการเสียเปรียบในเรื่องสิทธิบัตรยาและทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น หรือการทำข้อตกลงทางการค้าโดยที่ภาคเศรษฐกิจบางส่วนเช่นธุรกิจสื่อสารและอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับไม่มีมาตรการป้องกันและรองรับกลุ่มที่จะถูกผลกระทบ เช่น เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ผู้ปลูกกระเทียม เป็นต้น ทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องเสียเปรียบ
ยุคโลกาภิวัตน์ จึงเป็นยุคทุนครอบโลก เป็นยุคทองของบริษัทใหญ่ผูกขาดในประเทศมหาอำนาจ ทุนนิยม เพียงหยิบมือเดียวที่อาศัยอำนาจทุนที่เหนือกว่าและเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้ากว่าโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า “โลกไร้พรมแดน” และ “การค้าเสรี การลงทุนเสรี” มาแสวงหากำไรสูงสุดและดูดซับรายได้จากประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมีความด้อยกว่าและเสียเปรียบกว่าในทุกๆ ด้าน ทั้งยังปราศจาการปกป้องช่วยเหลือจากชนชั้นปกครอง ผลที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้โดยเฉพาะ กรรมกร แรงงานรับจ้าง เกษตรกร มีฐานะยากจนมากขึ้น หนี้สินเพิ่มทวี ทรัพยากรของชาติถูกแย่งยึด พร้อมกับสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย มลภาวะ ภัยพิบัติทางธรรมชาติและทางสังคม คุกคามชีวิตของคนในสังคมรุนแรงมากขึ้น
ทุกวันนี้ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ อยู่ภายใต้การครอบงำทุนผูกขาดข้ามชาติของประเทศมหาอำนาจทุนนิยมคือสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป เมื่อประเทศเหล่านี้ เกิดวิกฤติการเงินดังที่กำลังลุกลามอยู่ในขณะนี้ แม้ไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงโดยตรง แต่ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม เพราะประเทศไทยยังพึ่งพิงการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ และรายได้จากการท่องเที่ยวในอัตราส่วนค่อนข้างมาก และที่สำคัญ คือระบบตลาดทุน ตลาดเงินของไทย เกี่ยวพันกับระบบการเงินของประเทศมหาอำนาจทุนนิยมเหล่านี้โดยเฉพาะผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิด หากไทยไม่ปรับตัว ไม่พยายามสลัดให้พ้นจากอิทธิพลการครอบงำเอาเปรียบของเหล่าทุนผูกขาดข้ามชาติ สร้างมาตราการป้องกันระบบการเงินของชาติที่เป็นอิสระ สร้างตลาดสินค้าภายในให้เข้มแข็ง ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยส่วนใหญ่ให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง ประชาชนจะได้มีกำลังซื้อที่สูงขึ้น ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่นอาเซียน จีน อินเดีย ประเทศก็ไม่อาจรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้งอย่างแน่นอน
โครงสร้างชั้นบน -- การเมือง การปกครอง – ของสังคมไทยในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 โดยคณะราษฎรที่นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ได้ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจของกษัตริย์ถูกบั่นทอนไป การปกครองของประเทศได้เปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนับจากวันนั้นจนวันนี้ยังคงประสบอุปสรรคตลอดมา หลังปี 2475 ในระยะต้น ได้มีการพยายามฟื้นคืนอำนาจของฝ่ายนิยมกษัตริย์โดยการทำรัฐประหารที่เรียกว่ากบฏบวรเดช แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาการรัฐประหารในปี 2490 ของกลุ่มขุนศึกผิน ชุณหะวัณ และการรัฐประหารปี 2501 ของกลุ่มขุนศึกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ล้วนเป็นแผนการที่บงการโดยจักรพรรดินิยมอเมริกาในการสร้างรัฐบาลเผด็จการทหารที่เป็นหุ่นเชิดเพื่อเป้าหมายการครอบครองไทยให้ได้เต็มที่
เมื่อกลุ่มขุนศึกสฤษดิ์ได้กุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จ ก็ได้ทำการปกครองไทยเป็นแบบเผด็จการทหารซึ่งผูกขาดทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นเวลายาวนานกว่า15 ปี เหล่าขุนศึกเผด็จการได้อาศัยสถาบันกษัตริย์ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปกครองของพวกตน อย่างไรก็ตาม อำนาจเผด็จการทหารไม่อาจดำรงอยู่และขัดขวางการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยตลอดไป การต่อสู้ของประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ได้ขับไล่อำนาจเผด็จการทหาร ทำให้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามีโอกาสพัฒนาต่อไป การต่อสู้ของผู้รักชาติรักประชาธิปไตย 14 ตุลาคม 2516 นับเป็นหลักศิลาประชาธิปไตยที่สำคัญหลักหนึ่งที่แสดงถึงความตื่นตัวสู่ระดับใหม่ของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนนักเรียน นิสิต นักศึกษา
หลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นช่วงระยะที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนในวงการและอาชีพต่างๆ ได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กร สมาคมต่างๆ อย่างหลากหลาย การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและผลประโยชน์ของประชาชนเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน สร้างความวิตกกังวลแก่ชนชั้นปกครองเป็นอย่างยิ่ง
พวกปฏิกิริยาขวาจัด ทั้งศักดินา ทหารเผด็จการ และจักรพรรดินิยมอเมริกา ได้สมคบกันก่อกรณีนองเลือด 6 ตุลา 2519 หวังจะกวาดล้างขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนให้สิ้นซาก นักเรียน นิสิต นักศึกษาประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยถูกเข่นฆ่าล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถทำลายจิตวิญญาณรักชาติรักประชาธิปไตยของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยได้ พวกเขาพากันเดินทางเข้าสู่ป่าเขา เข้าร่วมการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การต่อสู้ของพวกเขามีเป้าหมายแจ่มชัดขึ้น ทำให้ขบวนการปฏิวัติขยายกำลังขึ้นมาก พวกปฏิกิริยาขวาจัดหวาดกลัวกำลังปฏิวัติของประชาชนที่นับวันเติบใหญ่ ในที่สุด(หลังจากปี 2524-2525) ต้องยอมผ่อนปรนเปิดทางให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยกลับเข้าเมือง ให้มีสิทธิประชาธิปไตยบางอย่างเช่นมีการเลือกตั้งที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ในสมัยที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมากระแสประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนขยายตัวเติบใหญ่ อำนาจทหารถูกบั่นทอนลง เป็นโอกาสให้กลุ่มนายทุนเข้ากุมอำนาจทางการเมือง พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ ตัวแทนกลุ่มทุนใหญ่จากซอยราชครูได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากพลเอกเปรม แต่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลตัวแทนนายทุนกับขุนศึกทหารยังคงดำรงอยู่และทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงจุดแตกหัก เมื่อพลเอกสุนทร คงสมพงศ์ เป็นหัวหน้าทำการรัฐประหาร ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) และเมื่อ พลเอก สุจินดา คราประยูรกลับคำพูดขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งเพื่อต้องการสืบต่ออำนาจของคณะรัฐประหาร ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเรือนแสนก็รวมตัวกันคัดค้านจนถูกปราบปรามเข่นฆ่าบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในเดือนพฤษภาคม 2535 รัฐบาลอำนาจทหารถูกต่อต้านอย่างหนัก จนพล.อ.สุจินดา จำต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยกลับเข้าสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนอีกครั้ง ดอกผลของการต่อสู้ครั้งนั้นได้ส่งผลให้ต่อมาในปี 2540 ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยแบบชนชั้นนายทุนขยายตัวมากขึ้น บทบาทและอำนาจทางการเมืองของทหารและพวกปฏิกิริยาขวาจัดถูกลดทอนลงมาก กลุ่มการเมืองต่างๆ ก็ได้อาศัยกระแสประชาธิปไตย ช่วงชิงเข้าสู่อำนาจรัฐโดยผ่านระบบรัฐสภา ที่มีพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง บทบาทของกลุ่มทุนในทางการเมืองจึงโดดเด่นขึ้น
มาถึงยุครัฐบาลไทยรักไทย ฝ่ายนายทุนใหญ่ผูกขาดมีบทบาทเป็นด้านหลักในอำนาจรัฐ กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่นำโดยทักษิณ ได้หยิบฉวยความคิดของนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนมาเป็นประโยชน์ ชูนโยบายประชานิยมที่เอาใจและเข้าถึงมวลชนพื้นฐาน ทำการเมืองแบบการตลาด และใช้เงินซื้อคะแนนเสียงจนชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากในสภาตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ในขณะเดียวกัน กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดทักษิณก็ได้ใช้อำนาจเงิน ใช้ระบบอุปถัมภ์ที่ตกทอดมาจากระบอบศักดินา ดูดดึงเอากลุ่มนายทุนการเมืองต่างๆ กลุ่มทหารขุนศึกและข้าราชการที่มีอำนาจมาขึ้นต่อตน กลายเป็นอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จของความร่วมมือระหว่างนายทุนใหญ่ผูกขาด ขุนศึกทหาร ตำรวจ และข้าราชการที่มีอำนาจ โดยมีนายทุนใหญ่ผูกขาดเป็นผู้นำและผู้บงการ พร้อมกันนี้ก็ได้อาศัยกลไกอำนาจรัฐแก้กฎหมาย ออกกฏหมายใหม่ ดำเนินการคอรัปชั่นเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนใหญ่ผูกขาดทักษิณและพวกอย่างโจ่งแจ้ง ทรัพย์สินของชาติถูกแปรให้เป็นทุนเอกชนและเทขายให้ต่างชาติ ใน
ขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนผลประโยชน์มหาศาลในครอบครัวเครือญาติโดยอาศัยตลาดหุ้น
ด้วยกลไกการซื้อขายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและหลบเลี่ยงภาษีครั้งมโหฬาร สุดที่ประชาชนผู้รักชาติจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงรวมตัวกันคัดค้านอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ชูธงต่อต้านการโกงบ้านกินเมืองของทักษิณและพวก และเมื่อความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทักษิณกับประชาชนและผู้ชุมนุมรุนแรงแหลมคมมากยิ่งขึ้นทุกที กลุ่มขุนศึกทหารและกลุ่มอำนาจเก่าที่มีความขัดแย้งกับกลุ่มทักษิณ ก็ได้ฉวยโอกาสทำการรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จัดตั้งรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มตนขึ้นปกครองประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐประหารครั้งนี้ก็ได้ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ได้ชูธงคัดค้านเผด็จการทหารและอำนาจนอกระบบ ปลุกกระแสต่อต้านความเหลื่อมล้ำในสังคมและการใช้ “สองมาตราฐาน” ของอำนาจรัฐ กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดทักษิณได้อาศัยการเคลื่อนไหวของประชาชนมาเป็นประโยชน์ในการฟื้นอำนาจของตน ทำให้การแตกแยกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่ายในทุกระดับชั้นของสังคมรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาในยุคก่อนๆ
เมื่อมีการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยภายใต้อิทธิพลทักษิณซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนอย่างเต็มที่ และมีนปช.เป็นกองหนุนที่สำคัญได้คะแนนเสียงสส.เกินครึ่ง กลับขึ้นสู่อำนาจรัฐที่โดยรูปแบบเป็นประชาธิปไตย แต่โดยเนื้อแท้เป็น “ธนาธิปไตย” ที่เป็นเผด็จการรัฐสภา นั่นก็คือเป็นการเมืองที่ผูกขาดโดยนายทุนใหญ่ผูกขาดผ่านระบบรัฐสภาอีกครั้ง ลักษณะ
การปกครองของสังคมไทยหลังจากนี้ไปยังจะเป็นเช่นนี้แม้อำนาจรัฐจะเปลี่ยนมือ
จากกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดทักษิณไปเป็นกลุ่มการเมืองนายทุนใหญ่ผูกขาดกลุ่มอื่น
ก็ตามตราบใดที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองของ
สังคมไทยปัจจุบัน
จากพัฒนาการของเศรษฐกิจทุนนิยมของไทยในระยะร้อยกว่าปีมานี้ จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมของไทยแตกต่างจากประเทศทุนนิยมที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ คือมิได้วิวัฒนาการจากการก้าวหน้าขึ้นของพลังการผลิตภายในประเทศ แล้วนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมของผู้ที่อยู่ในกระบวนการผลิตในประเทศเป็นสำคัญ หากเกิดจากอิทธิพลทุนใหญ่ผูกขาดนักล่าอาณานิคมที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในไทย และในกระบวนการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยมก็เป็นไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์มหาอำนาจทุนนิยมโลกมาโดยตลอด จึงเป็นผลทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมของไทยแตกต่างจากทุนนิยมทั่วไป คือ ตั้งแต่เริ่มแรกของการพัฒนาทุนนิยมในไทย ภาคการผลิตทางอุตสาหกรรมอันเป็นภาคที่สร้างมูลค่าและเป็นภาคพื้นฐานในระบอบทุนนิยมมีการพัฒนาและเติบโตที่ล่าช้า และอ่อนด้อยกว่าภาคการค้า การเงิน พลังการผลิตทางอุตสาหกรรม ได้แก่เครื่องจักร เทคโนโลยี รวมทั้งทักษะของแรงงานไทยมีอัตราการพัฒนาที่ต่ำ ส่วนใหญ่จะต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมของไทยอยู่ในสภาพที่ล้าหลังและอ่อนแอ นอกจากนั้นโครงสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมไทยเป็นโครงสร้างผูกขาด ทุนใหญ่ผูกขาดข้ามชาติโดยการร่วมมือกับทุนใหญ่ผูกขาดในไทยมีอิทธิพลและบทบาทครอบงำเศรษฐกิจส่วนต่างๆ ของสังคมสูงมาก จึงสรุปได้ว่าในทางเศรษฐกิจทุนนิยมไทยมีลักษณะเป็นทุนนิยมผูกขาดบริวารที่ล้าหลัง ทางการเมืองก็ยังไม่พัฒนาถึงขั้นเป็นประชาธิปไตยแบบประเทศทุนนิยมที่พัฒนาแล้ว
ลักษณะพิเศษของสังคมไทยในปัจจุบัน มีดังนี้
1. ระบอบเศรษฐกิจการปกครองของศักดินา(6) ได้สลายตัวโดยพื้นฐาน จักรพรรดินิยมที่รุกรานเข้าไทยไม่ต้องการทำลายระบอบศักดินาให้หมดสิ้น มีการประนีประนอมและประสานผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อชนชั้นปกครองศักดินาถูกลิดรอนอำนาจรัฐไปในปี 2475 ประกอบกับเศรษฐกิจทุนนิยมในประเทศขยายตัว เจ้าที่ดินศักดินาส่วนใหญ่ก็ได้ปรับตัวมาประกอบธุรกิจทางทุนนิยม ทรัพย์สินและที่ดินมากมายที่ตกทอดมาจึงเป็นฐานทางเศรษฐกิจของธุรกิจทุนนิยมของพวกเขา เจ้าที่ดินศักดินาบางส่วนได้กลายเป็นนายทุนใหญ่ผูกขาดในเศรษฐกิจทุนนิยมไทยปัจจุบัน
2. นายทุนใหญ่ผูกขาดข้ามชาติมีสัดส่วนและบทบาทสูงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมไทยในฐานะเป็นผู้ลงทุนหลัก หรือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธุรกิจสำคัญๆ หลายแขนง ที่สำคัญได้แก่ กิจการธนาคาร การส่งออก นำเข้า การค้าปลีก อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน ฯลฯ โดยเฉพาะด้านการเงิน มหาอำนาจทุนการเงินได้เข้ามาแทรกแซงและเก็งกำไรในตลาดเงิน ตลาดทุน ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจปีละมหาศาล อย่างไรก็ตาม การรุกเข้ามาของทุนใหญ่ผูกขาดต่างชาติจะไม่อาจลงหลักปักฐานและแย่งยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติไปได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มทุนใหญ่ภายในประเทศ กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดในประเทศ จึงเป็นฐานรองรับและเป็นพันธมิตรของกลุ่มทุนผูกขาดต่างชาติ แม้บางครั้งระหว่างพวกเขาอาจขัดแย้งทางผลประโยชน์บ้าง แต่เป้าหมายที่ขูดรีดประชาชนไทยและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและโภคทรัพย์ของประเทศชาติไทยนั้นร่วมกัน พวกเขาจึงไม่เป็นปรปักษ์กัน สามารถร่วมมือและแบ่งปันผลประโยชน์กันได้
3. สังคมไทยมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจสูงมาก แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะยืนยันว่าระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยมไทยเป็นระบบเสรี ที่เปิดโอกาสให้ประกอบธุรกิจและการแข่งขันอย่างเสรี แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งระบบ พิจารณาฐานะและกำลังทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมากของผู้ประกอบการในแต่ละสาขา ก็จะพบว่าทุกสาขาธุรกิจ ทั้งการเงิน การค้า การผลิต และการบริการ มีการผูกขาดหรือการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ปัจจัยที่ทำให้มีการผูกขาดทางเศรษฐกิจในไทย ที่สำคัญมี 2 ประการ
(๑)เกิดจากอำนาจของผู้ที่มีกำลังเงินทุนสูง และมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า มีวิธีการบริหารจัดการที่ทันสมัยกว่า ซึ่งผู้ที่มีศักยภาพเช่นนี้ก็คือทุนผูกขาดต่างชาติ และทุนใหญ่ในประเทศที่มีการสะสมทุนมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือร่ำรวยขึ้นโดยการเป็นนายหน้ารับใช้ทุนผูกขาดต่างชาติ และหรือร่วมทุนกับทุนต่างชาติ เมื่อนายทุนต่างชาติและนายทุนใหญ่ในประเทศเหล่านี้เข้าครอบครองธุรกิจสำคัญแขนงใดแขนงหนึ่งหรือหลายแขนง ผู้อื่นก็ไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสน้อยที่จะแข่งขันได้ ทุกวันนี้มีธุรกิจผูกขาดและกึ่งผูกขาดไม่น้อยที่เป็นของทุนต่างชาติ หรือร่วมทุนกับทุนใหญ่ผูกขาดภายในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และยางยนต์ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง บริษัทค้าปลีกข้ามชาติ ธนาคารและสถาบันการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม น้ำมัน เหมืองแร่ ไฟฟ้าและอีเลคโทรนิค
(๒) คือการอาศัยอำนาจรัฐมาผูกขาดธุรกิจที่มีผลประโยชน์สูง อาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยหลักของการผูกขาดทางเศรษฐกิจของสังคมไทยตั้งแต่อดีตมา และได้ทวีความร้ายแรงยิ่งขึ้นในปัจจุบัน การผูกขาดทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการอาศัยอำนาจรัฐของนักธุรกิจเป็นไปได้ทั้งทางอ้อมและทางตรง ทางอ้อมนั้นคือนายทุนนักธุรกิจไม่ได้เข้าสู่อำนาจรัฐเอง แต่อาศัยระบบอุปถัมภ์จ่ายค่าตอบแทนแก่นักการเมืองและข้าราชการที่กุมอำนาจรัฐอยู่ หรือนายทุนนักธุรกิจส่งตัวแทนของตนเข้าไปมีบทบาทในอำนาจรัฐ เพื่ออำนวยผลประโยชน์และอำนาจพิเศษเหนือตลาดให้แก่ธุรกิจของตน ส่วนการอาศัยอำนาจรัฐโดยทางตรงนั้น คือนายทุนนักธุรกิจใหญ่เองหรือตัวแทนที่ไว้ใจได้ เข้ากุมอำนาจรัฐโดยตรงโดยผ่านระบบพรรคการเมือง การเลือกตั้ง จากนั้นก็ใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือสร้างระเบียบ กติกา และนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนและพวกพ้องและสร้างอำนาจผูกขาดที่เหนือตลาด สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้มากมายและรวดเร็ว (กลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดทักษิณเป็นตัวอย่างนายทุนใหญ่นักการเมืองที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐโดยทางตรงเพื่อสร้างอำนาจผูกขาดทางธุรกิจ) การผูกขาดด้วยวิธีการที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐโดยทางตรงนึ้ กำลังเป็นแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นๆ
นายทุนใหญ่นักการเมืองที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐโดยตรง ใช้อำนาจรัฐผูกขาดและแสวงหากำไรทางธุรกิจที่มีผลประโยชน์สูง คือ นายทุนใหญ่ผูกขาดสามานย์
4. ทุนนิยมไทยไม่มีความเป็นอิสระและพึ่งตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาทุน เครื่องจักร และเทคโนโลยี รวมทั้งตลาดในต่างประเทศด้วย นโยบายเศรษฐกิจของชาติที่ผ่านมามุ่งเน้นการผลิตเพื่อการส่งออกมากกว่าการผลิตเพื่อการบริโภคอุปโภคภายในประเทศ (ปัจจุบันรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว มากกว่า 70% ของ GDP) แต่สินค้าอุตสาหรรมที่ส่งออกส่วนใหญ่ลงทุนโดยต่างชาติ ซึ่งเครื่องจักร และวัตถุดิบส่วนใหญ่สั่งเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อมูลค่าการส่งออกสินค้ายิ่งมาก มูลค่าการสั่งเข้าก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนกำไรจากสินค้าที่ส่งออกส่วนใหญ่ตกเป็นของนายทุนใหญ่ต่างชาติ ซึ่งพวกเขาก็ส่งกลับไปต่างประเทศ
5. พร้อมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยมไทย นายทุนชาติ(7) ที่เป็นนายทุนการผลิต นายทุนพาณิชย์และบริการ ก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนายทุนขนาดกลาง ขนาดเล็ก การเบียดขับ การกีดกันและการเอารัดเอาเปรียบของทุนใหญ่ผูกขาดไทยและต่างชาติ และระบบราชการที่ล้าหลัง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้นายทุนชาติของไทยไม่อาจเติบใหญ่เข้มแข็งได้ จึงกำหนดให้ชนชั้นนายทุนชาติไทยในทางเศรษฐกิจไม่สามารถเป็นกำลังหลักในการพัฒนาพลังการผลิตของทุนนิยมที่ก้าวหน้า
6. การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนเส้นทางทุนนิยมภายใต้การบงการของของจักรพรรดินิยมอเมริกาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 (2504-2509) เป็นต้นมา รัฐเน้นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม และการค้าในเมืองเป็นสำคัญ ละเลยภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจพื้นฐานที่สำคัญของสังคมไทยมายาวนาน เป็นผลให้การผลิตทางเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของเกษตรกรไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ชีวิตเกษตรกรในชนบทก็ได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างมากและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะ2-3ทศวรรษมานี้ เกษตรกรขนาดย่อมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของเกษตรกรถูกชักจูงให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขาย ต้องพึ่งพาการซื้อปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ เช่นปุ๋ยเคมี น้ำมัน ยาปราบศัตรูพืชเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตจึงสูง ทั้งยังต้องแบกรับความเสี่ยงในปัญหาภัยทางธรรมชาติระหว่างทำการผลิต แต่ผลิตผลที่ได้กลับมีราคาต่ำและผันผวนตามภาวะตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยที่เกษตรกรรายย่อยไร้อำนาจต่อรอง จึงทำให้การผลิตไม่คุ้มทุน รายได้ของเกษตรกรโดยเฉลี่ยแล้วมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการผลิตและการดำรงชีวิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ต้องกู้หนี้ยืมสิน เมื่อหนี้สินพอกพูนขึ้น ที่ดินทำกินก็ต้องตกไปเป็นของนายทุนหรือธนาคาร กลายเป็นเกษตรกรรับจ้างหรือเกษตรกรเช่าที่ ส่วนมากก็เข้าไปขายแรงงานในเมือง
แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐที่ผ่านมา โดยเฉพาะรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดไม่ได้สนใจแก้ปัญหาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน คือไม่ได้พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตให้ก้าวหน้า ลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางเกษตรเพื่อสร้างมูลค่า และส่งเสริมให้เกษตรกรมีการรวมตัวเป็นสหกรณ์ ขจัดการผูกขาดเอารัดเอาเปรียบในกระบวนการซื้อและขายของกลุ่มทุนที่มีอำนาจเหนือตลาด ให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม รวมทั้งไม่สนใจยกระดับการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงของเกษตรกรเพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์ รู้เท่าทันความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบชลประทานอย่างได้ผลและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นด้วย แต่รัฐบาลกลับแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยนโยบายประชานิยม เช่นการจำนำข้าว การประกันราคาพืชผล กองทุนหมู่บ้าน หวังเพียงสร้างฐานคะแนนเสียงทางการเมือง และเปิดโอกาสให้นักการเมืองและข้าราชการที่กุมอำนาจรัฐได้โกงกินงบประมาณของรัฐ ชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ขายข้าวตามราคาจำนำ แต่ต้นทุนการผลิตและสินค้าอุปโภคบริโภคกลับถือโอกาสถีบตัวสูงขึ้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผลของนโยบายประชานิยม ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจภาคเกษตรเข้มแข็งขึ้นแต่กลับอ่อนแอลง เกษตรกรถูกส่งเสริมให้มีความคิดหวังพึ่ง หลายปีมานี้ ผลิตผลทางเกษตรไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น สัดส่วนของภาคการเกษตรในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงเหลือเพียง 10 % ชีวิตของเกษตรกรรายย่อยยังคงยากจนลำบาก หนี้สินต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น(8) เกษตรกรมากกว่าร้อยละ 40 เป็นผู้ไม่มีที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินทำกินน้อยกว่า 10 ไร่(9) ทุกวันนี้ ลูกหลานเกษตรกรก็ไม่อยากทำไร่ทำนาอีกต่อไป หันไปทำงานในเมือง เป็นกรรมกร ลูกจ้างพนักงาน หรืออาชีพอิสระ ภาคเกษตรกรรมมีแนวโน้มจะเกิดวิกฤติขาดแคลนแรงงานในไม่ช้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางความยากจนล้มสลายของเกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของภาคเกษตรกรรม กลุ่มทุนธุรกิจการเกษตรที่เข้าไปแสวงหาผลกำไรจากการผลิตของเกษตรกรรายย่อยในชนบทด้วยการขายวัตถุที่เป็นปัจจัยการผลิต เช่นปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช หรือการรับซื้อผลิตผล และกลุ่มทุนธุรกิจการเกษตรที่ใช้รูปแบบเกษตรพันธะสัญญา (Contract Farming เช่น การเลี้ยงสัตว์และทำพืชไร่) กับเกษตรกรรายย่อยหรือรายครัวเรือน อันเป็นความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบผูกมัดที่ไม่เสมอภาคและไม่เป็นธรรม ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับนั้น(10) กลับร่ำรวยกันจนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาด บางกลุ่มได้เติบโตเป็นทุนใหญ่ระดับโลก อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วของทุนใหญ่ผูกขาดไทยในธุรกิจการเกษตร จะต้องมองให้เห็นเงาอันทะมึนของบรรษัทธุรกิจการเกษตรข้ามชาติด้วย เช่นบริษัท อาร์เบอร์ เอเคร์ (Arbor Acres) ของอเมริกันที่เป็นเจ้าตลาดสัตว์ปีก ซึ่งได้เข้าครอบครองตลาดในประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ ก็เป็นหุ้นส่วนสำคัญของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ในไทย
ดังนั้น ถ้าปัญหาความยากจนและล้าหลังของภาคเกษตรกรรมไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องและเร่งด่วน จึงมีความเป็นไปได้ว่า ชนบทซึ่งเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนไทยจะเป็นเหยื่ออันโอชะของทุนใหญ่ผูกขาดไทยร่วมกับทุนใหญ่ผูกขาดครอบโลกในไม่ช้า เพราะโลกกำลังมีแนวโน้มจะเกิดวิกฤติขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่
7. ดังที่ได้กล่าวมาในข้อ 6 การขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยม แทนที่จะทำให้ชีวิตของเกษตรกรในชนบทดีขึ้น ตรงข้ามกลับนำความยากจนลำบากมาซ้ำเติมมากขึ้น รายได้จากการขายพืชผลตกต่ำอย่างน่าใจหายและไร้หลักประกัน ยังผลให้เกษตรกรจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกิน แรงงานจากภาคเกษตรจึงหลั่งไหลเข้าไปขายแรงงานในเมือง จำนวนกรรมกรและแรงงานรับจ้างในเมืองได้เพิ่มทวีขึ้นกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสังคมไทย ปัจจุบัน ประชากรผู้อยู่ในกำลังแรงงาน (15-60 ปี) มีประมาณ 39 ล้านคน แรงงานในภาคเกษตรประมาณ 15 ล้านคน (เป็นเกษตรกรรับจ้าง 3 ล้านคน) แรงงานนอกภาคเกษตรกรรมหมายถึงกรรมกรและแรงงานรับจ้างในเมืองมีประมาณ 23 ล้านคน(11) แรงงานเป็นกำลังพื้นฐานของการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งเป็นสังคมทุนนิยม ฝ่ายที่เป็นผู้มีปัจจัยทุน คือเป็นเจ้าของเงิน ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักร ร้านค้า ฯลฯ หรือที่เรียกว่า “นายทุน” มีจำนวนเป็นส่วนน้อย ประมาณไม่ถึง 5% ของผู้ที่มีปัจจัยแรงงาน คือกรรมกรและแรงงานรับจ้าง การผลิตทางอุตสาหกรรม การค้า การบริการทุกแขนงล้วนต้องอาศัยแรงงานรับจ้าง แรงงานเป็นผู้สร้างมูลค่าของสินค้า เป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เป็นผู้สร้างโภคทรัพย์และความเจริญของสังคมทุกวันนี้ เนื่องจากการล่มสลายของเศรษฐกิจภาคเกษตร แรงงานรับจ้างในเมืองจึงเป็นผู้อุดหนุนเลี้ยงดูครอบครัวที่อยู่ในภาคเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยชราและวัยเด็ก
อย่างไรก็ตาม แม้กรรมกร และแรงงานรับจ้างจะมีบทบาทสำคัญมากในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ชีวิตของพวกเขาส่วนใหญ่ที่เป็นอยู่ยังคงยากจนและฝืดเคือง เนื่องจากค่าแรงต่ำ สวัสดิการน้อย แม้ด้วยการต่อสู้ของกรรมกรและลูกจ้าง ทางกฎหมายจะกำหนดให้มีการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำสูงขึ้นทุกปี แต่ก็เป็นการปรับขึ้นที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในเมืองที่ถีบตัวสูงขึ้นทุกวัน เมื่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าจ้างของกรรมกรและลูกจ้างส่วนใหญ่จึงไม่พอเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว พวกเขาต้องดิ้นรนทำงานหนักขึ้น เพิ่มการทำงานล่วงเวลา (โอที) เฉลี่ยวันละ 12 – 14 ชั่วโมง บางคนไม่มีวันหยุด นอกจากได้ค่าจ้างแรงงานที่ไม่ยุติธรรม สวัสดิการในการทำงานก็ไม่มั่นคงและไร้หลักประกันที่เพียงพอ การประสบอุบัติเหตุในระหว่างการทำงานและการให้ออกจากงานเกิดขึ้นได้เสมอ ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก คือ ลูกจ้างในระบบจ้างเหมาช่วง ( Sub contracting) ซึ่งคนเหล่านี้ เป็นกำลังแรงงานที่ยังด้อยสิทธิ ด้อยโอกาส และไร้อำนาจต่อรองที่สุด ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกรรมกร และแรงงานรับจ้างนับแสนคนหลังมหาอุทกภัย 2554 นี้ ที่ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ถูกเลิกจ้าง ไม่ได้รับค่าชดเชย ฯลฯ ก็เป็นตัวอย่างรูปธรรมที่แสดงให้ถึงชีวิตที่ไร้หลักประกันของแรงงานไทย
ผู้ใช้แรงงานไทยในยุคปัจจุบันที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์” นี้ หากมองอย่างผิวเผินแล้วอาจเห็นว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ (ทางวัตถุ) ที่ดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากพิจารณากันอย่างจริงจังจะเห็นได้ว่า ชีวิตของพวกเขาถูกขูดรีดอย่างหนักหน่วง นอกจากทางเศรษฐกิจ สิทธิขั้นพื้นฐานส่วนบุคคล คือการมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ การมีเวลาศึกษาเรียนรู้และติดตามข่าวสารบ้านเมือง ล้วนถูกลิดรอนไปหมด เพราะต้องทำงานหนักและยาวนานกว่าปกติในแต่ละวัน นอกจากนั้นพวกเขายังต้องถูกขูดรีดด้วยค่าเช่า (บ้าน รถ พื้นที่ขายของ ฯลฯ) ดอกเบี้ยเงินกู้ สินค้าเงินผ่อน และสินค้าราคาแพง อีกทั้งถูกมอมเมาด้วยวัฒนธรรมบริโภคนิยม และอบายมุขต่างๆ ซึ่งเป็นกับดักอันชั่วร้ายที่นายทุนใหญ่ผูกขาดจงใจวางไว้เพื่อดูดซับเอาหยาดเหงื่อแรงงานของผู้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นอีกต่อหนึ่ง ทุกวันนี้ แม้กรรมกรและผู้ใช้แรงงานจะดิ้นรนอย่างเต็มที่สักเพียงใด ทำงานมากสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้ ก็ยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ยังคงดำรงชีวิตด้วยความลำบากยากจนข้นแค้นรุ่นแล้วรุ่นเล่า
การที่กรรมกรไทยถูกกดขี่ขูดรีดค่อนข้างหนักนั้น นอกจากเพราะการเอารัดเอาเปรียบของนายทุนที่ต้องการมีกำไรสูงสุด ยังมีสาเหตุเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจที่มีการผูกขาดในระดับสูงโดยการร่วมมือของนายทุนใหญ่ผูกขาดไทยและนายทุนใหญ่ข้ามชาติ ทำให้โภคทรัพย์ที่สร้างขึ้นในสังคมไหลไปอยู่กับนายทุนใหญ่ผูกขาดเป็นส่วนใหญ่ ประชาชนผู้ใช้แรงงานได้รับส่วนแบ่งน้อยมาก สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ กรรมกรยังมีการจัดตั้งที่ไม่เข้มแข็ง ชนชั้นปกครองนอกจากให้การช่วยเหลือเหลียวแลกรรมกรน้อยมาก ยังร่วมมือกับนายทุนใหญ่ในประเทศและต่างชาติขัดขวางทำลายการเคลื่อนไหวจัดตั้งของกรรมกร(12) ทำให้ขบวนกรรมกรแตกแยก พลังกรรมกรอ่อนแอลง การที่ชนชั้นปกครองทำเช่นนี้ นอกจากเพื่อผลประโยชน์ของนายทุนใหญ่ผูกขาดแล้ว ยังหวังที่จะใช้กรรมกรเป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วย
8. เนื่องจากนายทุนใหญ่ผูกขาดไทยรวมทั้งนายทุนใหญ่ผูกขาดต่างชาติ เป็นผู้ยึดครองผลผลิตส่วนใหญ่ของประชาชนและประชาชาติ และการเอารัดเอาเปรียบของมหาอำนาจทุนนิยมโลก รวมทั้งการคอร์รัปชั่นโกงกินอย่างตะกละตะกลามของผู้กุมอำนาจรัฐไทย ทำให้ดอกผลที่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมของไทยไม่ได้ตกเป็นของประชาชนส่วนใหญ่ การกระจายรายได้ในสังคมไทยไม่เป็นธรรมยิ่ง มีความแตกต่างทางรายได้มากถึงประมาณ 15 เท่าระหว่างกลุ่มคนจนสุดกับกลุ่มคนรวยสุด กล่าวคือ กลุ่มคนจนสุด (20%ของประชากร) มีส่วนแบ่งรายได้เพียง 3.8% เท่านั้น ขณะที่กลุ่มคนรวยสุด (20%ของประชากร) มีส่วนแบ่งรายได้ถึง 58.5%(13) สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร กรรมกร และนายทุนน้อย จึงไม่ได้ยกระดับดีขึ้นตามการเติบโตของสถิติทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกขูดรีดด้วยค่าเช่า ดอกเบี้ย เงินกู้ เงินผ่อนและสินค้าราคาแพง ทำงานเท่าไรก็ไม่สามารถยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นได้
9. ปัจจุบันการเมืองของไทยได้ใช้รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่เนื้อแท้ของอำนาจรัฐอยู่ภายใต้อำนาจเงินของกลุ่มนายทุนใหญ่ผูกขาด พรรคการเมืองส่วนใหญ่ นายทุนใหญ่ผูกขาดเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้อุปถัมภ์ สมาชิกในพรรคการเมืองเป็นเสมือนลูกจ้าง นายทุนเจ้าของพรรคทุ่มเงินมหาศาลซื้อเสียงการเลือกตั้ง ซื้อพรรคเล็ก องค์กรอิสระ สื่อมวลชน บางครั้งแม้กระทั่งศาล และกลไกรัฐต่างๆ เพื่อจะได้เข้ากุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ แต่กลุ่มทหาร ข้าราชการชั้นสูงที่เป็นกลไกรัฐที่สำคัญ ก็ยังมีอิทธิพลในอำนาจรัฐ ทั้งร่วมมือและทั้งขัดแย้งกับกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาด สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ ได้แก่กรรมกร เกษตรกร ลูกจ้างพนักงาน นายทุนน้อย นายทุนชาติ นอกจากการลงคะแนนเสียงในเวลาเลือกตั้งแล้ว มีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองน้อยมาก อำนาจถ่วงดุลกับผู้กุมอำนาจรัฐก็แทบจะไม่มี ประชาชนที่ยากไร้ต้องดิ้นรนทำมาหากินเพื่อปากท้อง ขาดโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง
10. ทุกวันนี้ สังคมไทยถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมและค่านิยมของทุนครอบโลกอย่างเต็มตัว เพื่อประสานกับการครอบงำทางเศรษฐกิจและการเมือง ทุนครอบโลกได้สร้างค่านิยมที่บูชาอำนาจเงินพร้อมกับเผยแพร่วัฒนธรรมบริโภคนิยม กระตุ้นการเสพสิ่งของวัตถุที่เกินเลยความจำเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมาก เงินได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีพในยุคนี้ เพื่อเสาะแสวงให้ได้เงินมากที่สุด ทำให้คนในสังคมแก่งแย่งกัน เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ยึดผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจผลประโยชน์ของส่วนรวม คุณธรรมจริยธรรมและศีลธรรมที่ดีงามถูกแทนที่โดยคุณค่าของผลกำไร ประชาชนถูกมอมเมาด้วยอบายมุขต่างๆ ถูกชักนำด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทข้ามชาติใหญ่ที่ผูกขาดด้านการสื่อสารโทรคมนาคมให้หลงไหลในวัฒนธรรมที่เน่าเฟะ วิ่งตามแฟชั่นและสินค้ารุ่นใหม่ๆ ในโลกทุนนิยม กลายเป็นทาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของทุนครอบโลก ซึ่งก็คือจักรพรรดินิยมในยุคใหม่โดยไม่รู้ตัว
คู่ขนานกับการครอบงำของวัฒนธรรมของทุนครอบโลก วัฒนธรรมและจารีตประเพณีที่ตกทอดมาจากสังคมศักดินายังดำรงอยู่ในรูปการจิตสำนึกของสังคมไทยค่อนข้างหนาแน่น อาทิระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบอุปถัมภ์ ชนชั้นนำเสพติดอำนาจ ชนชั้นล่างติดค่านิยมพึ่งพา หวังพึ่งนาย เชื่อในบุญทำกรรมแต่ง ในด้านระบบการศึกษาแม้จะมีการพัฒนาเทคนิคการสอนให้เข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น แต่โดยพื้นฐานยังเน้นการท่องจำมากกว่าการพัฒนาการใช้ความคิดความเข้าใจในเหตุและผล ในด้านระบบการปกครองก็เป็นแบบประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีบารมีและมีอิทธิพลในทางสังคม การเมือง และ วัฒนธรรมที่แน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น