หมายเหตุ - บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด หรือเอไอเอ ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จาก 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และไทย ประเทศละ 500 คน เพื่อเปรียบเทียบเกี่ยวกับทัศนคติ ในเรื่องการคุ้มครองความเสี่ยงส่วนบุคคล และแนวโน้มพฤติกรรม ที่เพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย ชี้ให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของการให้ความสนใจของคนไทยต่อการทำประกันด้านสุขภาพ
การสำรวจครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากผลการสำรวจเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 55 สามารถเลี้ยงตัวเองได้ถ้าต้องประสบกับอุบัติเหตุหรือโรคร้ายแรง โดยขาดรายได้หลักในระยะประมาณ 1 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งหลังจากนั้นแล้วผู้ประสบอุบัติเหตุหรือโรคร้ายแรงดังกล่าวจะหาแหล่งสนับสนุนทางการเงิน นอกเหนือจากวงเงินคุ้มครองจากการทำประกัน โดยมุ่งหัวข้อหลักไปยังการสำรวจด้านแนวความคิด โดยมองถึงช่องว่างระหว่างแนวคิดและการรับรู้ถึงผลจากโรคร้ายแรงต่างๆ และการที่ต้องประสบอุบัติเหตุ
สำหรับข้อแรกของการสำรวจครั้งนี้ เมื่อถามถึงกลุ่มเป้าหมาย เกี่ยวกับข้อมูลการรับการตรวจสุขภาพประจำปี คนไทยกว่าร้อยละ 53 ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้ว่าจะไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความตระหนักและใส่ใจด้านสุขภาพเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวยังได้มีการตรวจหาเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ซึ่งพบว่าคนไทยร้อยละ 37 ที่ได้รับการตรวจหามะเร็ง และเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มประเทศที่ทำการสำรวจ นั่นจึงสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีความกังวลเกี่ยวกับโรคดังกล่าว
เมื่อสำรวจความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่างคนไทยต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังหรือการได้รับอุบัติเหตุจนอาจถึงแก่ชีวิต กลุ่มตัวอย่างคนไทยจัดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 17 ขณะที่สิงคโปร์คิดเป็นร้อยละ 4 ทั้งนี้ เนื่องจากสิงคโปร์ ประชากรส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ได้รับความปลอดภัย ซึ่งหากเทียบร้อยละ 17 ต่อจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ 6 ล้านคนแล้ว ถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากทีเดียว

อย่างไรก็ตาม สำหรับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งทั้งกับกลุ่มตัวอย่างเองและญาติพี่น้อง พบว่าไทยจัดเป็นประเทศอันดับที่ 4 ด้วยร้อยละ 42 ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่าโรคมะเร็งสามารถพบได้ทั้งกับตนเองและคนรอบข้าง ด้วยสาเหตุต่างๆ ทั้งด้านอาหารการกิน มลภาวะต่างๆ การดำเนินชีวิตที่ขาดการดูแลสุขภาพที่ดี ความเครียดจากการทำงาน จึงเป็นแนวโน้มและสัญญาณว่าคนไทยจะเริ่มหันมาใส่ใจความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคดังกล่าว
ทั้งนี้ ผลจากการสำรวจเบื้องต้นดังกล่าวมีแนวโน้มถึงการแสดงให้เห็นอีกว่า เมื่อถามกลุ่มตัวอย่างว่ากำลังพิจารณาการเพิ่มวงเงินคุ้มครองประกันส่วนบุคคลหรือไม่ อย่างไรนั้น เพราะหลังจากที่มีการสอบถามถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ แล้ว คนไทยให้ความเห็นว่าพิจารณาซื้อประกันส่วนบุคคลเพิ่มถึงร้อยละ 63 เพื่อคุ้มครองโรคมะเร็งคิดเป็นร้อยละ 50 โรคหัวใจร้อยละ 42 และโรคหลอดเลือดในสมองร้อยละ 48 แต่หากพิจารณาถึงมุมมองของคนไทยที่กังวลต่อโรคร้ายแรงเรียงลำดับการให้ความสำคัญกลับพบว่า หลอดเลือดในสมองมาเป็นอันดับแรก ตามด้วยโรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
ขณะที่การสำรวจในแง่มุมของด้านอุบัติเหตุ โดยพิจารณาถึงโอกาสการประสบกับอุบัติเหตุ พบว่าคนไทยส่วนใหญ่จะได้รับอุบัติเหตุเรียงตามลำดับ คือ จากอุบัติเหตุทางการจราจรร้อยละ 77 สุนัขกัดร้อยละ 49 และจากเหตุการณ์ไฟไหม้ตึกร้อยละ 42 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ เหล่านี้ เคยเกิดขึ้นจริงกับกลุ่มตัวอย่างในช่วงที่ผ่านมาด้วย โดยพบว่าคนไทยเป็นอันดับต้นๆ ในเรื่องของการประสบกับการได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน การได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่บ้าน ไฟไหม้ตึก และสุนัขกัดหรืออุบัติเหตุจากสัตว์ชนิดอื่นๆ
ในส่วนของมุมมองของกลุ่มตัวอย่างต่อกิจกรรมที่มีความเสี่ยง พบว่า 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างคนไทยคิดว่ามีความเสี่ยง คือ การขับรถเร็วเกินกว่าความเร็วที่กำหนดไว้ถึงร้อยละ 92 รองลงมาคือความเสี่ยงจากเมาแล้วขับร้อยละ 90 และไม่ข้ามถนนในทางข้ามร้อยละ 88 นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านการไม่สวมเข็มขัดนิรภัยเมื่อโดยสารรถยนต์ การเดินทางทางอากาศ การตกเป็นเหยื่อของการโจรกรรมหรือเหตุการณ์ร้ายบนท้องถนน เป็นต้น
และสำหรับในช่วงที่ผ่านมาก่อนทำการสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ได้เคยกระทำเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีความเสี่ยง โดยพบว่ากลุ่มตัวอย่างคนไทยเคยขับรถเร็วเกินกว่าความเร็วที่กำหนดร้อยละ 39 เมาแล้วขับร้อยละ 23 และไม่ข้ามถนนในทางข้ามร้อยละ 73 ซึ่งเป็นประเทศอันดับแรกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมอีกว่า จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับสาเหตุการตายที่สำคัญในปี 2544 พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ตามด้วยอุบัติเหตุและการเป็นพิษ ส่วนโรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ทั้งนี้ โรคมะเร็งและโรคหัวใจเป็นโรคที่ต้องการการรักษาอย่างทันท่วงที ในหลายๆ กรณีต้องได้รับการดูแลรักษาในระยะยาว หากเราสามารถตรวจพบอาการของโรคได้เร็วจะส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตเพิ่มสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าผ่าตัดมะเร็งขึ้นอยู่กับระยะและขนาดของก้อนเนื้อ ส่วนค่าผ่าตัดหัวใจในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ เฉลี่ย 500,000-700,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลหลังการผ่าตัดโรคหัวใจในช่วงระยะเวลา 2 ปี ประมาณ 62,000-125,000 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อาจกลายเป็นวิกฤตทางการเงินได้ หากการเจ็บป่วยนั้น ทำให้ต้องออกจากงาน และขาดรายได้ประจำ และหากมองในแง่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรไทยที่ 86,000 บาทต่อปี (จีดีพี/ยอดรวมประชากรไทยทั้งหมด) ผลสำรวจนี้บ่งชี้สัญญาณอันตรายทางการเงินที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญ หากขาดการทำประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงด้วยทุนประกันที่เพียงพอ
-บทสรุป
ผลสำรวจครั้งนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างทางแนวความคิดระหว่างการรับรู้และความเข้าใจถึงความร้ายแรง ทั้งจากโรคต่างๆ และด้านอุบัติเหตุนั้น สามารถเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด และเป็นแนวทางในการป้องกันตนเอง และครอบครัวจากภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ
ขณะเดียวกันยังพบด้วยว่า กลุ่มตัวอย่างคนไทยกว่าร้อยละ 53 แม้จะให้ความสนใจด้านสุขภาพ โดยมีการตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้จะไม่มีอาการของโรคก็ตาม แต่พบว่ามีเพียง 10% ที่ทำประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง ในขณะที่ 56% ของคนสิงคโปร์ 41% ของคนฮ่องกง และ 35% ของคนมาเลเซีย ต่างทำประกันคุ้มครองโรคร้ายไว้
ทั้งนี้ การทำประกันอันดับแรกๆ ที่คนไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญ และต้องการการคุ้มครองเพิ่มเติม คือ อุบัติเหตุ 63% โรคมะเร็ง 50% และโรคหลอดเลือดในสมอง 46%
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังเผยให้เห็นช่องว่างทางความคิดของกลุ่มตัวอย่างคนไทย เพราะขณะที่คนไทยตระหนักดีถึงพิษภัยของโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ แต่กลับมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่วางแผนทางการเงิน เพื่อรองรับการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงนี้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 3 ระบุว่าตนเองหรือญาติมิตรเคยได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าโรคดังกล่าวเป็นโรคที่เกิดใกล้ตัวคนไทย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ทำการสำรวจครั้งนี้ คนไทยกลับมีอัตราการทำประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง และโรคมะเร็งน้อยที่สุดเพียงร้อยละ 10 ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มองเรื่องวิกฤตทางการเงินป็นเรื่องไกลตัว จึงยังไม่ได้วางแผนรองรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น