วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


ปัญหาทางการเมืองประเภทต่างๆ


ปัญหาการทุจริตคดโกง

ปัญหาการคอรัปชั่นปัญหาการทุจริตคดโกงในการเมืองไทย เริ่มตั้งแต่การซื้อ-ขายเสียงในการเลือกตั้งเพื่อเข้ามาทำงานในรัฐบาล การที่นักการเมืองต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการเข้าสู่อาชีพและเพื่อการดำรงตำแหน่งโดยผ่านการเลือกตั้ง ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และการซื้อเสียงเพื่อให้ตนเองได้รับชัยชนะนั้น ก่อให้เกิดเป็นต้นทุนของนักการเมือง ซึ่งเมื่อนักการเมืองได้เข้ามาทำงานในรัฐบาลแล้ว ก็ย่อมหาช่องทางที่จะทุจริตคดโกงเพื่อให้ได้เงินกลับคืนมากกว่าที่ลงทุนไปหลายเท่า
การทำงานในหน่วยงานต่างๆทางการเมืองนั้น ล้วนแต่มีธรรมเนียมของการคอร์รัปชันจนแทบจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ประชาชนทั่วไปก็ไม่สามารถตรวจสอบหรืออาจจะต้องจำยอมในการดำเนินการติดสินบนกับหน่วยงาน เพื่อให้สามารถดำเนินเรื่องได้อย่างราบรื่น

ปัญหาความขัดแย้งของแต่ละฝ่าย

ปัญหารการเมืองอีกปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่การเมืองไทยมาตลอดก็คือ ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งของแต่ละฝ่าย การไม่ยอมรับเหตุผลในการอภิปรายและตัดสินใจ การแสดงออกด้วยคำพูดไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ การกล่าวปราศรัยบนเวทีต่อหน้าชุมชน การใช้ตำแหน่ง อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม การแสดงกิริยาก้าวร้าว การไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของการเป็นตัวแทนประชาชน การฝ่าฝืนคุณธรรมและจริยธรรมแห่งความดีงามกลายเป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อเกิด ขึ้นแล้วก็ผ่านไป ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการลงโทษ ท้ายที่สุดจึงเกิดวิกฤตทางการเมือง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากการไร้คุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองนั่นเอง

ปัญหาการเห็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง

จากการที่นักการเมืองมีอำนาจอยู่ในมือ ทำให้เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง และพวกพ้อง หรือเรียกว่าการเมืองแบบระบบอุปถัมภ์ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการเห็นประโยชน์ของตนเอง และพรรคพวก มากกว่าผลประโยชน์ทางสังคม และประเทศชาติ
ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมและเศรษฐกิจการตลาดที่ส่งเสริมการเติบโตของ ระบบทุนนิยมอย่างกว้างขวาง ทำให้ธุรกิจการค้าขยายตัวและต้องอาศัยการดำเนินการทางการเมืองเพื่อช่วยผลัก ดันผู้ประกอบการที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อลดผลกระทบทางลบของนโยบาย ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กับนักการเมืองที่แยกจากกันได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการเมืองที่มีอาชีพทางธุรกิจก่อนเข้าสู่วงการเมือง และยังต้องการรักษาอาชีพและผลประโยชน์เดิมไว้ต่อไป
นอกจากนี้ก็จะมีกรณีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนืองๆว่า หากนักการเมือง หรือพวกพ้องของนักการเมือง เกิดคดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เรื่องมักจะเงียบหายไปโดยที่คนทำผิดไม่ได้ถูกลงโทษแต่อย่างใด
ดังนั้นการควบคุม พฤติกรรมของนักการเมืองให้ประสบผลสำเร็จจึงจำเป็นต้องสร้างสำนึกหรือมโนธรรม แห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดี โดยให้เกิดความรู้สึกละอายหากจะทำในสิ่งไม่ถูกไม่ควร หรือเรียกได้ว่า “คุณธรรมและจริยธรรม”

หลักจริยศาสตร์เพื่อการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในสังคมไทย

จริยธรรมตามหลักนิติรัฐ

ยึดหลักการว่า การบริหารงานใดได้ดำเนินการถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย ถือว่าการบริหารงานนั้นถูกต้องตามหลักจริยธรรม แนวคิดนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจมีปัญหาเรื่องความไม่ครอบคลุม เพราะกฎหมายมักจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่เกิดปัญหา และเพื่อมิให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก จึงออกกฎหมายมาบังคับใช้ ดังนั้นกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงไม่เพียงพอในการกำกับพฤติกรรมการบริหาร งานให้อยู่ในกรอบของจริยธรรมได้ทุกกรณี

จริยธรรมตามมาตรฐานจริยธรรม

ยึดหลักการการพยายามแสวงหาความดีที่ยึดถือควรเป็นอย่างไร แล้วนำมาใช้เป็นมาตรฐานจริยธรรม เพื่อกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติ จริยธรรมตามมาตรฐานจริยธรรม จึงมีความครอบคลุมกว้างขวางกว่าจริยธรรมตามหลักนิติรัฐ อย่างไรก็ตาม จริยธรรมตามมาตรฐานจริยธรรมมีจุดอ่อนที่สำคัญ คือ ขาดบทบังคับการลงโทษเมื่อมีการละเมิด เป็นความแตกต่างจากจริยธรรมตามหลักนิติรัฐ

จริยธรรมในเชิงพุทธ

หลักจริยธรรมในเชิงพุทธ หรือเรียกว่า พุทธจริยธรรม เป็นหลักการดำเนินชีวิตในพุทธจริยศาสตร์ ที่เป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยของตนเองและสังคม และบรรลุเป้าหมายของชีวิตอันอยู่ในกรอบของความดีตามเกณฑ์ของพุทธจริยศาสตร์
สำหรับนักการเมือง ก็มีหลักจริยธรรมที่ควรน้อมมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองในด้านต่างๆ

หลักจริยธรรมสำหรับนักการเมือง

สุจริต ๓

คือการประพฤติดี, ประพฤติชอบ, ประพฤติถูกต้องตามคลองธรรม โดยทั้งหมดนี้เป็นไปในกรอบของศีล ๕ นั่นเอง
  • กายสุจริต ประพฤติชอบด้วยกาย
  • วจีสุจริต ประพฤติชอบด้วยวาจา
  • มโนสุจริต ประพฤติชอบด้วยใจ

พรหมวิหาร ๔

ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ คือ
  • เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข
  • กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์
  • มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข
  • อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง

สังคหวัตถุ ๔

ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว และประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี คือ
  • ทาน การให้
  • ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ วาจาเป็นที่รัก
  • อัตถจริยา การประพฤติประโยชน์
  • สมานัตตตา ปฏิบัติสม่ำเสมอกันในชน

อคติ ๔

ความไม่เที่ยงธรรม คือ
  • ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
  • โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
  • โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงผิด
  • ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว

อธิปไตย ๓

  • อัตตาธิปไตย มีตนเป็นใหญ่ หมายถึง ตนเองต้องมีความเป็นใหญ่ในตนเอง มีสติมีความเพียรพยายาม ในการละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่เป็นโทษ บำเพ็ญธรรมที่เป็นประโยชน์ บริหารตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลา
  • โลกาธิปไตย มีโลกเป็นใหญ่ หมายถึงโลกสันนิวาสที่หมู่สัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่ หรือบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เรา ทำโลกหรือคนอื่นให้เป็นอธิปไตย ส่วนตัวเราเองละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่เป็นโทษ บำเพ็ญธรรมที่เป็นประโยชน์ บริหารตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลาย
  • ธัมมาธิปไตย มีธรรมเป็นใหญ่ หมายถึงการให้ความเคารพในธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ในการบริหารตนเพื่อให้มีความเพียรที่ถูกต้อง ในการละอกุศล บำเพ็ญกุศล ละธรรมที่เป็นโทษ บำเพ็ญธรรมที่เป็นประโยชน์ บริหารตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลาย

ราชธรรม ๑๐ หรือ ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรมธรรมของพระราชา คือ
  • ทาน การให้
  • ศีล ความประพฤติดีงาม
  • ปริจจาคะ การบริจาค
  • อาชชวะ ความซื่อตรง
  • มัททวะ ความอ่อนโยน
  • ตปะ ความแผดเผากิเลสตัณหา
  • อักโกธะ ความไม่โกรธ
  • อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน
  • ขันติ ความอดทน
  • อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม








                                                                  ที่มา   http://www.buddhabucha.net


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น